การ ให้วัคซีนสำหรับเด็ก ... คู่มือกำหนดการให้วัคซีน จากกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่อาจจะยังงงๆ เกี่ยวกับเรื่องการให้วัคซีนต่างๆ ในปัจจุบัน ซึ่งมีหลายขนานกว่าเมื่อก่อน ก็เลยอาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่าให้อะไรบ้าง ต้องให้เมื่อไร แล้วแต่ละอย่าต้องให้กี่ครั้ง ผมก็เลยอยากแนะนำให้ลองเข้าไป download คู่มือนี้จากทางกระทรวงสาธารณาสุขมาอ่านดูนะครับ น่าจะช่วยได้มากที่เดียว
http://thaigcd.ddc.moph.go.th/download/EPI/EPI_Table_Poster.pdf
หมายเหตุ
BCG = vaccine สำหรับโรควัณโรค (80% effective) -> http://en.wikipedia.org/wiki/Bacillus_Calmette-Gu%C3%A9rin
HB = vaccine สำหรับโรคตับอักเสบ ชนิดบี (95% effective) -> http://www.who.int/vaccines/en/hepatitisb.shtml
DTwP = vaccine สำหรับโรคคอตีบ + บาดทะยัก + ไอกรน (80%-85% effective) -> http://pediatrics.aappublications.org/cgi/content/full/99/2/282
OPV = vaccine สำหรับโรคโปลิโอ (99.99% effective) -> http://www.who.int/entity/biologicals/areas/vaccines/polio/opv/en/index.html
MMR = vaccine สำหรับโรคหัด + คางทูม + หัดเยอรมัน (95% effective) -> http://www.immunizationinfo.org/vaccineinfo/vaccine_detail.cfv?id=8
JE = vaccine สำหรับโรคไข้สมองอักเสบชนิดเจอี (ยังไม่มีข้อมูลยืนยันด้าน effectiveness ครับ)
หวังว่าคงทำให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเข้าใจเรื่องการ ให้วัคซีนแก่บุตรหลานของตนมากขึ้นนะครับ ขอให้ท่านและบุตรหลานสุขภาพแข็งแรงกันทุกคนครับ
โดย ITWichien
วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553
1.3ข้อควรปฎิบัติและไม่ควรปฎิบัติในการเลี้ยงดูเด็กทารก(แรกเกิด–1ปี)
พฤติกรรมที่ควรทำ
- อุ้มเด็กพาดบ่าหลังดื่มนมทุกครั้ง ผลดีคือ - เด็กท้องไม่อืด
- อุ้ม กอด จูบ เด็กทุกครั้งด้วยสัมผัสที่นุ่มนวน อบอุ่น มั่นคง ไม่รัดแน่นจนเด็กอึดอัด - เด็กมีความสุข อบอุ่น มั่นใจและสบายใจ
- อุ้มเด็ก หยอกล้อ ให้เวลาพูดคุย ให้เล่นของเล่นที่ ปลอดภัย หยอกล้อ ให้เวลาพูดคุย - ทำให้เด็กสนใจมองสิ่งแวดล้อม
ให้เล่นของเล่น ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับเด็ก กระตุ้นการเรียนรู้ ของเด็ก
เด็กสนใจภาษา รู้วิธีสื่อความหมาย
- เปลี่ยนเกม/ของเล่นชิ้นใหม่เมื่อเด็กเบื่อแล้ว (ของ เล่นชิ้นใหม่อาจเป็นของใช้ภายในบ้าน - เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งของ คน
ที่เหมาะสมกับวัยสะอาด ปลอดภัย) และสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น
- พ่อแม่และบุคคในครอบครัวช่วยเลี้ยงดูและ เล่นกับเด็ก - เด็กมีความสุขสนุกสนาน
เพลิดเพลิน และ เป็นการ เรียนรู้
ความรู้สึก/พฤติกรรมของพ่อแม่ และ
บุคคล ในครอบครัว
- เด็กมีความใกล้ชิดและผูกพันกับพ่อแม่
- เด็กได้รับความรัก ความสนใจจากบุคคลใน ครอบครัว
- อุ้มเด็กพาดบ่าหลังดื่มนมทุกครั้ง ผลดีคือ - เด็กท้องไม่อืด
- อุ้ม กอด จูบ เด็กทุกครั้งด้วยสัมผัสที่นุ่มนวน อบอุ่น มั่นคง ไม่รัดแน่นจนเด็กอึดอัด - เด็กมีความสุข อบอุ่น มั่นใจและสบายใจ
- อุ้มเด็ก หยอกล้อ ให้เวลาพูดคุย ให้เล่นของเล่นที่ ปลอดภัย หยอกล้อ ให้เวลาพูดคุย - ทำให้เด็กสนใจมองสิ่งแวดล้อม
ให้เล่นของเล่น ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับเด็ก กระตุ้นการเรียนรู้ ของเด็ก
เด็กสนใจภาษา รู้วิธีสื่อความหมาย
- เปลี่ยนเกม/ของเล่นชิ้นใหม่เมื่อเด็กเบื่อแล้ว (ของ เล่นชิ้นใหม่อาจเป็นของใช้ภายในบ้าน - เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งของ คน
ที่เหมาะสมกับวัยสะอาด ปลอดภัย) และสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น
- พ่อแม่และบุคคในครอบครัวช่วยเลี้ยงดูและ เล่นกับเด็ก - เด็กมีความสุขสนุกสนาน
เพลิดเพลิน และ เป็นการ เรียนรู้
ความรู้สึก/พฤติกรรมของพ่อแม่ และ
บุคคล ในครอบครัว
- เด็กมีความใกล้ชิดและผูกพันกับพ่อแม่
- เด็กได้รับความรัก ความสนใจจากบุคคลใน ครอบครัว
เรื่องที่ 1.2 ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก(แรกเกิด–1ปี)
เรื่องที่ 1.2 ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก(แรกเกิด–1ปี)
ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก
1. ถ่ายเหลว
2. ลิ้นเป็นฝ้า
3. ถุงลิง
4. อาเจียน
5. ท้องผูก
ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก
1. ถ่ายเหลว
2. ลิ้นเป็นฝ้า
3. ถุงลิง
4. อาเจียน
5. ท้องผูก
1.1พัฒนาการด้านต่างๆและคุณลักษณะตามวัยของเด็กทารก(แรกเกิด–1ปี)
เด็กคือทรัพยากรที่มีคุณค่าเป็นความหวังของชุมชนและประเทศชาติ เด็กทุกคนจึงจำเป็นทีจะต้องได้ รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างถูกต้องและ เหมาะสม เพื่อให้เด็กมีพัฒนากรทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและ สติปัญญา มีคุณธรรมและบุคลิกภาพที่เหมาะสมตามวัย
การเลี้ยงดูเด็กในวัยทารกนี้จะมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการตาม วัยของเด็ก ทุกด้าน เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึง มักใช้การร้องไห้เพื่อแสดงความต้องการ ซึ่งผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องเข้าใจ และตอบสนองให้ถูกต้อง จึงจะทำให้เด็กมีความสุขและสามารถเรียนรู้ สิ่งต่างๆ ได้ดีดังนี้
1. การเจริญเติบโต
2. พัฒนาการด้านร่างกาย
3. พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม
การเลี้ยงดูเด็กในวัยทารกนี้จะมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการตาม วัยของเด็ก ทุกด้าน เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึง มักใช้การร้องไห้เพื่อแสดงความต้องการ ซึ่งผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องเข้าใจ และตอบสนองให้ถูกต้อง จึงจะทำให้เด็กมีความสุขและสามารถเรียนรู้ สิ่งต่างๆ ได้ดีดังนี้
1. การเจริญเติบโต
2. พัฒนาการด้านร่างกาย
3. พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม
พัฒนาการและจิตวิทยาเด็กทารก (แรกเกิด-1ปี)
เรื่องที่
1.1 พัฒนาการด้านต่างๆและคุณลักษณะตามวัยของเด็กทารก
1.2 ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก
1.3 ข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติในการเลี้ยงดูเด็กทารก
แนวคิด
เด็ก วัยแรกเกิดจนถึง 1 ปี เป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตด้านร่างกายและมีการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ มากมาย เด็กทารกต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างจากครรภ์ ของแม่ เรียนรู้การกินอาหาร และเรียนรู้ทักษะทางสังคมในการติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่แวดล้อมตัวเด็ก พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของทารกจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเติบโตและมีพัฒนาการที่เหมาะสมในช่วงวัยต่อ ไป
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. บอกลักษณะเด่นของทารกตั้งแต่แรกเกิดถึง 1ปีได้
2. บอกขั้นตอนสำคัญของพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และลักษณะการเรียนรู้ของทารกได้
3. อธิบายผลกระทบที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของทารกได้
1.1 พัฒนาการด้านต่างๆและคุณลักษณะตามวัยของเด็กทารก
1.2 ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก
1.3 ข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติในการเลี้ยงดูเด็กทารก
แนวคิด
เด็ก วัยแรกเกิดจนถึง 1 ปี เป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตด้านร่างกายและมีการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ มากมาย เด็กทารกต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างจากครรภ์ ของแม่ เรียนรู้การกินอาหาร และเรียนรู้ทักษะทางสังคมในการติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่แวดล้อมตัวเด็ก พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของทารกจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเติบโตและมีพัฒนาการที่เหมาะสมในช่วงวัยต่อ ไป
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. บอกลักษณะเด่นของทารกตั้งแต่แรกเกิดถึง 1ปีได้
2. บอกขั้นตอนสำคัญของพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และลักษณะการเรียนรู้ของทารกได้
3. อธิบายผลกระทบที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของทารกได้
วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานได้อย่างไร
วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานได้อย่างไร
วิธีที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานมีเพียงวิธีเดียวคือการเจาะหาน้ำตาลในเลือด สำหรับคนปกติแนะนำให้คนที่มีอายุมากกว่า 45 ปีควรจะเจาะเลือดทุกปีถ้าหากปกติก็ให้เจาะทุก 3 ปี หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงก็ควรที่เจาะเร็วขึ้นและบ่อยขึ้น คนปกติจะมีค่าน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่า 80-100 มิลิกรัม% การวินิจฉัยโรคเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 มิลิกรัม% สำหรับผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระ 100-125 มิลิกรัม%เราเรียก Impaired fasing glucose [IFG] คน กลุ่มนี้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องคุมอาการ รักษาน้ำหนัก ออกกำลังกาย สำหรับการตรวจปัสสาวะไม่แนะนำเพราะเราจะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะเมื่อระดับ น้ำตาลในเลือดมากกว่า 180 มิลิกรัม%ซึ่งเป็นเบาหวานไปเรียบร้อยแล้ว
การตรวจเลือดเราสามารถตรวจได้หลายวิธีดังนี้
1.
การวัดระดับกลูโคสในพลาสม่าหลังการอดอาหารอย่างน้อย8ชั่วโมง [fasting plasma glucose :FPG] แนะนำให้ใช้วิธีซึ่งสะดวกและแม่นยำ ให้การวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือด [FPG] สูงกว่า 126มก.%[7.0 mmol/L] สองครั้ง
2.
การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส [ oral glucose tolerance test:OGTT] กรณีสงสัยว่าจะเป็นเบาหวาน แต่ระดับพลาสม่ากลูโคสก่อนรับประทานอาหารไมถึง 126 มก.% ให้ตรวจโดยการดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม เจาะเลือดก่อนดื่ม และ 2 ชั่วโมงหลังดื่ม วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับพลาสม่ากลูโคสที่ 2 ชั่วโมงตั้ง 200 มก.%ขึ้นไป หากอยู่ระหว่า 140-199มก.%ถือว่าความทนทานต่อน้ำตาลบกพร่อง ( impaired glucose tolerance test) หากต่ำกว่า 140 มก%ถือว่าปกติ
3.
การสุ่มวัดระดับกลูโคสในพลาสมา [random plasma glucose:RPG] โดยไม่กำหนดเวลาอดอาหาร ใช้ค่ามากกว่า 200 มก.%และมีอาการของโรคเบาหวาน เนื่องจากมีความแม่นยำต่ำจึงไม่นิยมหาก หากพบว่าค่ามากกว่า 200 มิลิกรัม%จะต้องนัดมาเจาะน้ำตาลก่อนอาหาร หรือทำการตรวจ การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส OGTT อาจจะตรวจในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคเบาหวานมากจำเป็นต้องรีบให้การรักษา
4.
การใช้ระดับโปรตีนกลัยโคซัยเลต ได้แก่ glycosylate hemoglobin:HbA1c และ glycosylate albumin[fructosamine] ไม่นิยมในการวินิจฉัยโรคเบาหวานแต่นิยมใช้เพื่อประเมินผลการรักษาเนื่องจากมีความไวและความแม่นยำต่ำ
5.
การตรวจหากลูโคสในปัสสาวะไม่นิยมเพราะผิดพลาดได้ง่าย
ในการตรวจหากลูโคสในกระแสเลือดควรคำนึงถึงยาที่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้นเช่น steroid,thiazide,nicotinic acid,beta-block,ยาคุมกำเนิด
การตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์[Gestational Diabetes:GDM]
การคัดกรองของโรคเบาหวานชนิดที่หนึ่งไม่นิยมเนื่องจากราคาแพงและยังไม่เป็นที่ยอมรับ
คำนำ | การวินิจฉัย | การคัดกรอง | ชนิดของเบาหวาน | หลักการรักษาและโรคแทรกซ้อน |เป้าหมายในการควบคุมเบาหวาน | การติดตามและการประเมิน
http://www.siamhealth.net
วิธีที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานมีเพียงวิธีเดียวคือการเจาะหาน้ำตาลในเลือด สำหรับคนปกติแนะนำให้คนที่มีอายุมากกว่า 45 ปีควรจะเจาะเลือดทุกปีถ้าหากปกติก็ให้เจาะทุก 3 ปี หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงก็ควรที่เจาะเร็วขึ้นและบ่อยขึ้น คนปกติจะมีค่าน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่า 80-100 มิลิกรัม% การวินิจฉัยโรคเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 มิลิกรัม% สำหรับผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระ 100-125 มิลิกรัม%เราเรียก Impaired fasing glucose [IFG] คน กลุ่มนี้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องคุมอาการ รักษาน้ำหนัก ออกกำลังกาย สำหรับการตรวจปัสสาวะไม่แนะนำเพราะเราจะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะเมื่อระดับ น้ำตาลในเลือดมากกว่า 180 มิลิกรัม%ซึ่งเป็นเบาหวานไปเรียบร้อยแล้ว
การตรวจเลือดเราสามารถตรวจได้หลายวิธีดังนี้
1.
การวัดระดับกลูโคสในพลาสม่าหลังการอดอาหารอย่างน้อย8ชั่วโมง [fasting plasma glucose :FPG] แนะนำให้ใช้วิธีซึ่งสะดวกและแม่นยำ ให้การวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือด [FPG] สูงกว่า 126มก.%[7.0 mmol/L] สองครั้ง
2.
การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส [ oral glucose tolerance test:OGTT] กรณีสงสัยว่าจะเป็นเบาหวาน แต่ระดับพลาสม่ากลูโคสก่อนรับประทานอาหารไมถึง 126 มก.% ให้ตรวจโดยการดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม เจาะเลือดก่อนดื่ม และ 2 ชั่วโมงหลังดื่ม วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับพลาสม่ากลูโคสที่ 2 ชั่วโมงตั้ง 200 มก.%ขึ้นไป หากอยู่ระหว่า 140-199มก.%ถือว่าความทนทานต่อน้ำตาลบกพร่อง ( impaired glucose tolerance test) หากต่ำกว่า 140 มก%ถือว่าปกติ
3.
การสุ่มวัดระดับกลูโคสในพลาสมา [random plasma glucose:RPG] โดยไม่กำหนดเวลาอดอาหาร ใช้ค่ามากกว่า 200 มก.%และมีอาการของโรคเบาหวาน เนื่องจากมีความแม่นยำต่ำจึงไม่นิยมหาก หากพบว่าค่ามากกว่า 200 มิลิกรัม%จะต้องนัดมาเจาะน้ำตาลก่อนอาหาร หรือทำการตรวจ การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส OGTT อาจจะตรวจในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคเบาหวานมากจำเป็นต้องรีบให้การรักษา
4.
การใช้ระดับโปรตีนกลัยโคซัยเลต ได้แก่ glycosylate hemoglobin:HbA1c และ glycosylate albumin[fructosamine] ไม่นิยมในการวินิจฉัยโรคเบาหวานแต่นิยมใช้เพื่อประเมินผลการรักษาเนื่องจากมีความไวและความแม่นยำต่ำ
5.
การตรวจหากลูโคสในปัสสาวะไม่นิยมเพราะผิดพลาดได้ง่าย
ในการตรวจหากลูโคสในกระแสเลือดควรคำนึงถึงยาที่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้นเช่น steroid,thiazide,nicotinic acid,beta-block,ยาคุมกำเนิด
การตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์[Gestational Diabetes:GDM]
การคัดกรองของโรคเบาหวานชนิดที่หนึ่งไม่นิยมเนื่องจากราคาแพงและยังไม่เป็นที่ยอมรับ
คำนำ | การวินิจฉัย | การคัดกรอง | ชนิดของเบาหวาน | หลักการรักษาและโรคแทรกซ้อน |เป้าหมายในการควบคุมเบาหวาน | การติดตามและการประเมิน
http://www.siamhealth.net
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)