โรคติดต่ออะไรบ้างที่ ต้องรายงาน? และรายงานใคร? อย่างไร?
panpan (125.24.141.*) [ 10 ม.ค. 2551 21:04 น. ]
โดยคุณ earth ส่งเมล์ถึง earth (61.7.132.*) [ 26 ม.ค. 2551 16:53 น. ] ผู้ตอบคนที่ 1
ระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 เป็นระบบที่ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล และสถานีอนามัยทุกแห่ง(โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง โรงพยาบาลเอกชนยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด) ในการเฝ้าระวังโรค/ภัย ที่อาจเกิดการระบาดได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันควบคุมโรค/ภัย เป็นหลัก มิใช่เป็นรายงานสถิติของโรคนั้นๆ [ส่วนใหญ่ ใช้นิยามผู้ป่วยเป็น "ผู้ป่วยที่สงสัย(suspect)" ไม่ใช่ "ผู้ป่วยที่ยืนยัน(confirm)" โปรดดูนิยามในการเก็บข้อมูลประกอบการใช้ข้อมูลด้วย]
ได้แก่
Communicable Diseases
Acute Flaccid Paralysis
AEFI
Amoebiasis other organ
Anthrax
Capillariasis
Chickenpox
Cholera
D.H.F.
D.H.F.shock syndrome
Dengue fever
Diarrhoea
Diphtheria
Dysentery, uns.
Dysentery,Amoebic
Dysentery,Bacillary
Encephalitis uns.
Enteric fever
Eosinophilic Meningitis
Filariasis
Food Poisoning
H.conjunctivitis
Hand,foot and mouth disease
Hepatitis A
Hepatitis B
Hepatitis C
Hepatitis D
Hepatitis E
Hepatitis uns.
Herpes zoster
Influenza
Japanese B encephalitis
Kala azar
Leptospirosis
Leprosy
Liver fluke
Malaria
Measles
Measles c Complication
Melioidosis
Meningitis,uns.
Meningococcal Meningitis
Mumps
Mushroom poisoning
Paratyphoid
Pertussis
Pneumonia
Poliomyelitis
PUO
Rabies
Reye syndrome
Rubella
Scarlet fever
Scrub Typhus
T.B. other organs
T.B.meningitis
T.B.pulmonary
Tetanus exc.Neo.
Tetanus neonatorum
Trichinosis
Tropical ulcer
Typhoid
Yaw,infectious
Environmental-Occupational diseases
Gas vapor poisoning
Lead poisoning
Mn,Hg,As poisoning
Pesticide poisoning
Petroleum poisoning
Physical Hazard
Pneumoconiosis
Sexually Transmitted Diseases
Chancroid
Condyloma Acuminata
Genital Herpes Simplex
Gonorrhoea
L.G.V.&other&unsp.V.D.
N.S.U./V
Other STI
Syphilis
Other
Cassava poisoning
Drug poisoning
Snake bite
Suicide
กลุ่มโรคที่ถูกจัดลำดับความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งพิจารณา จากความรุนแรงของโรค ความเร็วของการแพร่ระบาด โรคที่เป็นนโยบาย ฯลฯ โดยขอความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดจัดรวบรวมข้อมูล คือ
กลุ่มโรคที่ต้องรายงานทันที/ภายใน ๒๔ ชั่วโมง โดยใช้แบบรายงาน 506 หรือแบบรายงาน
E1 ส่งทางโทรสาร หรือโทรศัพท์แจ้งข้อมูล ได้แก่
1. Cholera (Severe diarrhea) อหิวาตกโรค (อุจจาระร่วงอย่างแรง)
2. SARS โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันแบบรุนแรง
3. Avian Influenza ไข้หวัดนก
4. Diphtheria คอตีบ
5. Meningococcal Meningitis ไข้กาฬหลังแอ่น
6. Antrax แอนแทรกซ์
7. Rabies พิษสุนัขบ้า
8. Severe AEFI อาการภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
9. Polio-AFP โปลิโอ – กล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบเฉียบพลัน
10. Cluster of food poisoning อาหารเป็นพิษที่ผู้ป่วยมาเป็นกลุ่ม
11. Severe unknown infectious diseases, Death of unknown origin ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตแบบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
12. DHF , DF , DSS ไข้เลือดออก, ไข้เดงกี่ , ไข้เลือดออกช็อค
13. Measles หัด
14. Encephalitis ไข้สมองอักเสบ
15. Influenza ไข้หวัดใหญ่
16. Hand-foot-mouth disease มือ-เท้า-ปาก
17. Leptospirosis ไข้ฉี่หนู
18. Pertussis ไอกรน
19. Tetanus neonatorum บาดทะยักในเด็กแรกเกิด
20. Pneumonia (Death) ปอดบวมที่เสียชีวิต
21. โรคอื่นๆ ที่เกิดผิดปกติในพื้นที่
วัน เวลา ราชการ แจ้งได้ที่ กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด หมายเลขโทรศัพท์ภายใน 141 , หมายเลขโทรศัพท์ภายนอก 043-527161
วันหยุดราชการ (เวลาราชการ) แจ้งได้ที่ งานระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด โทร. 043-515206 , 043-511754 ต่อ 112
เนื่องจากเป็นระบบรายงานที่ต้องการความรวดเร็วในการแจ้ง ดังนั้น ตัวเลข อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ จึงขอให้ใช้ข้อมูลด้วยความระมัดระวัง
โดยคุณ อดิเรก ศิริษา นักวิชาการสาธารณสุข ส่งเมล์ถึง อดิเรก ศิริษา นักวิชาการสาธารณสุข (61.7.132.*) [ 27 ม.ค. 2551 16:20 น. ] ผู้ตอบคนที่ 2
ขอเพิ่มเติมโรคที่ต้องรายงานภายใน 24 ชั่วโมง อีก 4 โรค ครับ
ระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค ๕๐๖ เป็นระบบที่ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล และสถานีอนามัยทุกแห่ง(โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง โรงพยาบาลเอกชนยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด) ในการเฝ้าระวังโรค/ภัย ที่อาจเกิดการระบาดได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันควบคุมโรค/ภัย เป็นหลัก มิใช่เป็นรายงานสถิติของโรคนั้นๆ [ส่วนใหญ่ ใช้นิยามผู้ป่วยเป็น "ผู้ป่วยที่สงสัย(suspect)" ไม่ใช่ "ผู้ป่วยที่ยืนยัน(confirm)" โปรดดูนิยามในการเก็บข้อมูลประกอบการใช้ข้อมูลด้วย]
ได้แก่
Communicable Diseases
Acute Flaccid Paralysis
AEFI
Amoebiasis other organ
Anthrax
Capillariasis
Chickenpox
Cholera
D.H.F.
D.H.F.shock syndrome
Dengue fever
Diarrhoea
Diphtheria
Dysentery, uns.
Dysentery,Amoebic
Dysentery,Bacillary
Encephalitis uns.
Enteric fever
Eosinophilic Meningitis
Filariasis
Food Poisoning
H.conjunctivitis
Hand,foot and mouth disease
Hepatitis A
Hepatitis B
Hepatitis C
Hepatitis D
Hepatitis E
Hepatitis uns.
Herpes zoster
Influenza
Japanese B encephalitis
Kala azar
Leptospirosis
Leprosy
Liver fluke
Malaria
Measles
Measles c Complication
Melioidosis
Meningitis,uns.
Meningococcal Meningitis
Mumps
Mushroom poisoning
Paratyphoid
Pertussis
Pneumonia
Poliomyelitis
PUO
Rabies
Reye syndrome
Rubella
Scarlet fever
Scrub Typhus
T.B. other organs
T.B.meningitis
T.B.pulmonary
Tetanus exc.Neo.
Tetanus neonatorum
Trichinosis
Tropical ulcer
Typhoid
Yaw,infectious
Environmental-Occupational diseases
Gas vapor poisoning
Lead poisoning
Mn,Hg,As poisoning
Pesticide poisoning
Petroleum poisoning
Physical Hazard
Pneumoconiosis
Sexually Transmitted Diseases
Chancroid
Condyloma Acuminata
Genital Herpes Simplex
Gonorrhoea
L.G.V.&other&unsp.V.D.
N.S.U./V
Other STI
Syphilis
Other
Cassava poisoning
Drug poisoning
Snake bite
Suicide
กลุ่มโรคที่ถูกจัดลำดับความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งพิจารณา จากความรุนแรงของโรค ความเร็วของการแพร่ระบาด โรคที่เป็นนโยบาย ฯลฯ โดยขอความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดจัดรวบรวมข้อมูล คือ
กลุ่มโรคที่ต้องรายงานทันที/ภายใน ๒๔ ชั่วโมง โดยใช้แบบรายงาน 506 หรือแบบรายงาน
E1 ส่งทางโทรสาร หรือโทรศัพท์แจ้งข้อมูล ได้แก่
1. Cholera (Severe diarrhea) อหิวาตกโรค (อุจจาระร่วงอย่างแรง)
2. SARS โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันแบบรุนแรง
3. Avian Influenza ไข้หวัดนก
4. Diphtheria คอตีบ
5. Meningococcal Meningitis ไข้กาฬหลังแอ่น
6. Anthrax แอนแทรกซ์
7. Rabies พิษสุนัขบ้า
8. Severe AEFI อาการภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
9. Polio-AFP โปลิโอ – กล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบเฉียบพลัน
10. Cluster of food poisoning อาหารเป็นพิษที่ผู้ป่วยมาเป็นกลุ่ม
11. Severe unknown infectious diseases, Death of unknown origin ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตแบบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
12. DHF , DF , DSS ไข้เลือดออก, ไข้เดงกี่ , ไข้เลือดออกช็อค
13. Measles หัด
14. Encephalitis ไข้สมองอักเสบ
15. Influenza ไข้หวัดใหญ่
16. Hand-foot-mouth disease มือ-เท้า-ปาก
17. Leptospirosis ไข้ฉี่หนู
18. Pertussis ไอกรน
19. Tetanus neonatorum บาดทะยักในเด็กแรกเกิด
20. Pneumonia (Death) ปอดบวมที่เสียชีวิต
21. โรคอื่นๆ ที่เกิดผิดปกติในพื้นที่
22. Plague กาฬโรค
23. Smallpox ไข้ทรพิษ
24. Botulism โบทิวลิสซึม
เมื่อพบผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยตามเกณฑ์คลินิก หรือตามดุลยพิจของแพทย์ ทั้งที่มีผลการตรวจ และไม่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้แจ้ง
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด หมายเลขโทรศัพท์ภายใน 141 , หมายเลขโทรศัพท์ภายนอก 043-527161 เวลา 8.00 – 16.00 น.
วันหยุดราชการ (เวลาราชการ) แจ้งได้ที่ งานระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด โทร. 043-515206 , 043-511754 ต่อ 112
รายละเอียด Link ไปที่ http://www.somed101.org งานป้องกันควบคุมโรค
ผู้ตอบ นายอดิเรก ศิริษา นักวิชาการสาธารณสุข 7 ว. กลุ่มงานเวชกรรมสังคม งานป้องกันควบคุมโรค โรงพยาบาลร้อยเอ็ด earthsirisa@yahoo.co.th
เนื่องจากเป็นระบบรายงานที่ต้องการความรวดเร็วในการแจ้ง ดังนั้น ตัวเลข อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ จึงขอให้ใช้ข้อมูลด้วยความระมัดระวัง
วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553
** โครงการรับยา ฟรี สำหรับผู้ป่วย มะเร็ง เม็ดเลือดขาว และ มะเร็งกระเพาะอาหาร **
** โครงการรับยา ฟรี สำหรับผู้ป่วย มะเร็ง เม็ดเลือดขาว และ มะเร็งกระเพาะอาหาร **
เป็นประโยชน์ ช่วย บอกต่อค่ะ
ขอประชาสัมพันธ์ครับ สำหรับผู้ป่วย หรือมีคนใกล้ตัว คนข้างบ้าน หรือคนรู้จัก เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
(ลูคีเมีย) และ มะเร็งกระเพาะอาหาร จะได้ช่วยกันบอก ต่อ...
>
> แจกยาฟรีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคร้ายที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน
> และคร่าชีวิตผู้คนในอันดับต้นๆ ในทุกวันนี้ คงต้องนับรวมมะเร็งเม็ดเลือดขาวและ มะเร็งกระเพาะ
> อาหารไว้ด้วย
>
> โดยผู้ ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวกับความผิด ปกติของเลือดนี้ ส่วนใหญ่
> นอกจากจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายค่ายาสูงลิบ ก็ยังประสบปัญหาเรื่องการทำงานการใช้ชีวิต
> ที่ มีข้อจำกัดอย่างยิ่ง ภาวะของโรคจะบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ
> สร้างความหดหู่ทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด
>
> ล่าสุด บริษัทยาข้ามชาติโนวาร์ตีส ได้จัดตั้งโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป
> (GIPAP:Glivec InternationalPatient Assistance Program) ซึ่ง เป็นโครงการให้ความ
> ช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด ขาวชนิดเรื้อรัง ( Chronic Myeloid Leukemia) ที่มี ผล
> ฟิลาเดเฟียโครโมโซม ( philadephia chromosome) เป็นบวก ผู้ป่วยมีอาการในระยะรุนแรง
> ของโรค หรือผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดจีสต์ ( GIST-Grstro-Intesinal Stromal
> Tumor) ที่ผ่าตัดไม่ได้ และอยู่ใน ระยะลุกลาม (มี c-Kill หรือ CD117 เป็นบวก)
>
> โดยโครงการจะจัดมอบยาของบริษัทให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้งจะมอบให้ต่อเนื่อง
> จนกว่าจะมียาอื่นที่เป็นทาง เลือก ของผู้ป่วยได้ต่อไป ! ;
>
> ดร.แดเนียล วาเซลลา ผู้บริหารระดับสูงของโนวาร์ตีส ( สหรัฐอเมริกา) กล่าวว่าประเทศไทย
> เป็นหนึ่งใน 80 ประเทศทั่วโลก ที่ได้ร ับอนุมัติในโครงการดังกล่าว ปัจจุบันจีนพบมีผู้ป่วยมากกว่า
> 1.8 หมื่นราย โดย มีผู้ป่วยจากประเทศไทยประมาณ 800 คนซึ่งนับว่ายังน้อยมาก
>
> จึงต้องการประชาสัมพันธ์เพื่อผู้ป่วย ด้วยโรคดังกล่าวอาจจะสนใจเข้าร่วมโครงการ
> ทั้ง นี้ ได้จัดตั้งมูลนิธิแมกซ์ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลนานา ชาติ
> ในการประเมินและอนุมัติผู้ป่วยที่ มีสิทธิได้รับยาฟรีดังกล่าวทั้งนี้ สำนักงานมูลนิธิแมกซ์
> ตั้งอยู่ที่ซีแอตเติล ประเทศสหรัฐอเมริกา
> ก่อตั้งขึ้นในปี 2540 โดย ' เพโดร ริวาโรลา ' ( Pedro Rivarola)
> เพื่อเป็นเกียรติแก่บุตรชาย ' แม็ก ซิมิเลียโน ริวาโรลา ' (Maximilliano Rivarola)
> ซึ่งเสีย ชีวิตจากโรคมะเร็งเม็ดโลหิตด้วยวัยเพียง 17 ปี
>
> สำหรับมูลนิธิแมกซ์ในประเทศไทยได้จัด ตั้งมูลนิธิสาขา ได้แก่ แมกซ์! (ประเทศไทย)
> ซึ่งจะเป็นผู้ทำการพิจารณาอนุมัติอย่างอิสระ
>
> สำหรับ ผู้ป่วยที่จะขอความช่วยเหลือจากจีแพปได้ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
>
> 1. ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้เชี่ยว ชาญว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง
> (CML-Chronic Myeloid Leukemia) หรือ มะเร็งกระเพาะอาหาร ( GIST)
> ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า มีผล CD 117 เป็นบวก
>
> 2. ผู้ป่วยเป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ใน ประเทศไทย
>
> 3. ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้
>
> 4. ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้ และไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากที่ใดทั้งสิ้น
>
>
> หากมีคุณสมบัติครบให้ปฏิบัติดังนี้
>
> 1. แจ้งความ ประสงค์เข้าร่วมโครงการรับยาฟรีจากจีแพปกับแพทย์ผู้รักษา
> แพทย์ของท่านจะดำเนินการจัดส่งใบสมัครในนามของท่านออ นไลน์ไปที่
> www.themaxfoundation
>
> 2. ให้ราย ละเอียดเกี่ยวกับตัวเอง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และชื่อของแพทย์ผู้รักษา
>
> 3. ภายหลังจากที่แพทย์ของท่าน ส่งใบ สมัครมาที่มูลนิธิแมกซ์แล้ว
> เจ้าหน้าที่จะ ติดต่อกลับไปหาท่านเพื่อนัดสัมภาษณ์
>
> 4. กรณีที่ได้รับการอนุมัติ มูลนิธิจะแจ้งผลไปยังบริษัท โนวาร์ตีส
> ( ประเทศ ไทย) เพื่อจัดส่งยาผ่านแพทย์ผู้รักษาตัวท่าน
>
> 5. แพทย์จะเป็นผู้แจ้ง ผลการพิจารณาผลการอนุมัติให้ท่านทราบเอง >
>
> ส่วนโรงพยาบาลที่เข้าร่วมใน โครงการมี 16 แห่ง คือ
> 1. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
> 2. โรงพยาบาลรามาธิบดี
> 3. ศิริราชพยาบาล
> 4. โรง พยาบาลจุฬาลงกรณ์ ! ;
> 5. โรงพยาบา ลพระมงกุฎเกล้า
> 6. โรงพยาบาลราชวิถี
> 7. โรงพยาบาลวชิรพยาบาล
> 8. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ !
> 9. โรงพยาบาลตำรวจ
> 10. โรงพยาบาลภูมิพล
> 11. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
> 12. สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร
> 13. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
> 14. โรงพยาบาลหาดใหญ่ !
> 15. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และ
> 16. โรงพยาบาลสระบุรี
>
> ผู้ป่วยหรือมีคนใกล้ชิด ป่วยด้วยโรคดังกล่าว
> สามารถติดต่อราย ละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนศักดิ์ อุทิศชลานนท์ และ บุษกร สนธิกร
> หมายเลขโทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8202
> หรือ จะเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ที่ www.gipapthailand.org
> หรือ www.themaxfoundation.com
" บอกต่อได้กุศล ช่วยคนป่วยได้บุญ "
เป็นประโยชน์ ช่วย บอกต่อค่ะ
ขอประชาสัมพันธ์ครับ สำหรับผู้ป่วย หรือมีคนใกล้ตัว คนข้างบ้าน หรือคนรู้จัก เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
(ลูคีเมีย) และ มะเร็งกระเพาะอาหาร จะได้ช่วยกันบอก ต่อ...
>
> แจกยาฟรีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคร้ายที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน
> และคร่าชีวิตผู้คนในอันดับต้นๆ ในทุกวันนี้ คงต้องนับรวมมะเร็งเม็ดเลือดขาวและ มะเร็งกระเพาะ
> อาหารไว้ด้วย
>
> โดยผู้ ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวกับความผิด ปกติของเลือดนี้ ส่วนใหญ่
> นอกจากจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายค่ายาสูงลิบ ก็ยังประสบปัญหาเรื่องการทำงานการใช้ชีวิต
> ที่ มีข้อจำกัดอย่างยิ่ง ภาวะของโรคจะบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ
> สร้างความหดหู่ทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด
>
> ล่าสุด บริษัทยาข้ามชาติโนวาร์ตีส ได้จัดตั้งโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป
> (GIPAP:Glivec InternationalPatient Assistance Program) ซึ่ง เป็นโครงการให้ความ
> ช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด ขาวชนิดเรื้อรัง ( Chronic Myeloid Leukemia) ที่มี ผล
> ฟิลาเดเฟียโครโมโซม ( philadephia chromosome) เป็นบวก ผู้ป่วยมีอาการในระยะรุนแรง
> ของโรค หรือผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดจีสต์ ( GIST-Grstro-Intesinal Stromal
> Tumor) ที่ผ่าตัดไม่ได้ และอยู่ใน ระยะลุกลาม (มี c-Kill หรือ CD117 เป็นบวก)
>
> โดยโครงการจะจัดมอบยาของบริษัทให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้งจะมอบให้ต่อเนื่อง
> จนกว่าจะมียาอื่นที่เป็นทาง เลือก ของผู้ป่วยได้ต่อไป ! ;
>
> ดร.แดเนียล วาเซลลา ผู้บริหารระดับสูงของโนวาร์ตีส ( สหรัฐอเมริกา) กล่าวว่าประเทศไทย
> เป็นหนึ่งใน 80 ประเทศทั่วโลก ที่ได้ร ับอนุมัติในโครงการดังกล่าว ปัจจุบันจีนพบมีผู้ป่วยมากกว่า
> 1.8 หมื่นราย โดย มีผู้ป่วยจากประเทศไทยประมาณ 800 คนซึ่งนับว่ายังน้อยมาก
>
> จึงต้องการประชาสัมพันธ์เพื่อผู้ป่วย ด้วยโรคดังกล่าวอาจจะสนใจเข้าร่วมโครงการ
> ทั้ง นี้ ได้จัดตั้งมูลนิธิแมกซ์ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลนานา ชาติ
> ในการประเมินและอนุมัติผู้ป่วยที่ มีสิทธิได้รับยาฟรีดังกล่าวทั้งนี้ สำนักงานมูลนิธิแมกซ์
> ตั้งอยู่ที่ซีแอตเติล ประเทศสหรัฐอเมริกา
> ก่อตั้งขึ้นในปี 2540 โดย ' เพโดร ริวาโรลา ' ( Pedro Rivarola)
> เพื่อเป็นเกียรติแก่บุตรชาย ' แม็ก ซิมิเลียโน ริวาโรลา ' (Maximilliano Rivarola)
> ซึ่งเสีย ชีวิตจากโรคมะเร็งเม็ดโลหิตด้วยวัยเพียง 17 ปี
>
> สำหรับมูลนิธิแมกซ์ในประเทศไทยได้จัด ตั้งมูลนิธิสาขา ได้แก่ แมกซ์! (ประเทศไทย)
> ซึ่งจะเป็นผู้ทำการพิจารณาอนุมัติอย่างอิสระ
>
> สำหรับ ผู้ป่วยที่จะขอความช่วยเหลือจากจีแพปได้ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
>
> 1. ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้เชี่ยว ชาญว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง
> (CML-Chronic Myeloid Leukemia) หรือ มะเร็งกระเพาะอาหาร ( GIST)
> ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า มีผล CD 117 เป็นบวก
>
> 2. ผู้ป่วยเป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ใน ประเทศไทย
>
> 3. ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้
>
> 4. ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้ และไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากที่ใดทั้งสิ้น
>
>
> หากมีคุณสมบัติครบให้ปฏิบัติดังนี้
>
> 1. แจ้งความ ประสงค์เข้าร่วมโครงการรับยาฟรีจากจีแพปกับแพทย์ผู้รักษา
> แพทย์ของท่านจะดำเนินการจัดส่งใบสมัครในนามของท่านออ นไลน์ไปที่
> www.themaxfoundation
>
> 2. ให้ราย ละเอียดเกี่ยวกับตัวเอง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และชื่อของแพทย์ผู้รักษา
>
> 3. ภายหลังจากที่แพทย์ของท่าน ส่งใบ สมัครมาที่มูลนิธิแมกซ์แล้ว
> เจ้าหน้าที่จะ ติดต่อกลับไปหาท่านเพื่อนัดสัมภาษณ์
>
> 4. กรณีที่ได้รับการอนุมัติ มูลนิธิจะแจ้งผลไปยังบริษัท โนวาร์ตีส
> ( ประเทศ ไทย) เพื่อจัดส่งยาผ่านแพทย์ผู้รักษาตัวท่าน
>
> 5. แพทย์จะเป็นผู้แจ้ง ผลการพิจารณาผลการอนุมัติให้ท่านทราบเอง >
>
> ส่วนโรงพยาบาลที่เข้าร่วมใน โครงการมี 16 แห่ง คือ
> 1. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
> 2. โรงพยาบาลรามาธิบดี
> 3. ศิริราชพยาบาล
> 4. โรง พยาบาลจุฬาลงกรณ์ ! ;
> 5. โรงพยาบา ลพระมงกุฎเกล้า
> 6. โรงพยาบาลราชวิถี
> 7. โรงพยาบาลวชิรพยาบาล
> 8. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ !
> 9. โรงพยาบาลตำรวจ
> 10. โรงพยาบาลภูมิพล
> 11. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
> 12. สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร
> 13. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
> 14. โรงพยาบาลหาดใหญ่ !
> 15. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และ
> 16. โรงพยาบาลสระบุรี
>
> ผู้ป่วยหรือมีคนใกล้ชิด ป่วยด้วยโรคดังกล่าว
> สามารถติดต่อราย ละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนศักดิ์ อุทิศชลานนท์ และ บุษกร สนธิกร
> หมายเลขโทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8202
> หรือ จะเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ที่ www.gipapthailand.org
> หรือ www.themaxfoundation.com
" บอกต่อได้กุศล ช่วยคนป่วยได้บุญ "
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553
อาการปวดศีรษะไมเกรนกับการมีรอบเดือน
สาวๆทราบไหมคะว่า โดยเฉลี่ยแล้ว มีสถิติออกมาว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือที่เรียกว่าไมเกรน (Migraines) จะเป็นผู้หญิง และใน 60 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มนี้ จะมีอาการปวดศีรษะและเกิดขึ้นในช่วงที่มีรอบเดือนอีกด้วยล่ะค่ะ
หลาย คนคงเกิดคำถามว่า ทำไม ฮอร์โมนถึงทำให้เราปวดศีรษะได้ การปวด ศีรษะของสาวๆ มีผลพวงที่เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับที่ลดต่ำลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ ผลิตจากรังไข่ ในระหว่างหรือหลังการมีประจำเดือนนั่นเองค่ะ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่อายุประมาณ 14 ปีขึ้นไป โดยปวดศีรษะข้างเดียว ลักษณะปวดเป็นแบบปวดตุ้บๆ หรือแปล๊บๆ ตำแหน่งที่ปวดอาจจะแตกต่างกัน เช่น กระบอกตา ขมับท้ายทอย หรือทั่วศีรษะ หรือสลับข้างซ้ายขวาอย่างรุนแรง บางครั้งอาจทำให้คลื่นไส้หรืออาเจียนได้
วิธีในการป้องกันและลดความรุนแรง ควรเริ่มจากการออกกำลังกายเป็นประจำ สม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายสร้างสารต่อต้านความเจ็บปวด หรือที่เราคุ้นเคยกับคำว่า เอ็นดอร์ฟิน นั่นเองค่ะ เอ็น ดอร์ฟินมีโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างของมอร์ฟีนจึงมีสรรพคุณเหมือนเป็นยาแก้ ปวดอย่างดีเลยทีเดียว ขณะเดียวกันการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้นอนหลับสบาย ระบบฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายปรับตัวสมดุล เมื่อภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลในช่วงมีประจำเดือนลดลง จะส่งผลให้อาการปวดศีรษะไมเกรนลดลงด้วย
นอก จากนั้นควรลดตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนลง เช่น ลดความเครียด ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ รับประทานยาในกลุ่มแอนตี้พรอสตาแกลนดินที่ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนในช่วง ที่มีประจำเดือนได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือ เภสัชกรก่อนใช้ยา โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารนะคะ
ใน การรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนช่วงที่มีรอบเดือน ควรจะดูแลเรื่องการรับประทานอาหารเพิ่มเติมด้วย มีตัวอย่างอาหารบางประเภทที่เป็นของโปรดของสาวๆ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันอาการปวดดังนี้ค่ะ
-กาเฟอีน มักจะพบในชาและกาแฟ
-สารแทนนินและไทรามีน สารแทนนินเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร เช่น ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ไวน์แดง ส่วนสารไทรามีนเป็นสารลดระดับ
เซโรโทนินในร่างกาย ซึ่งมีอยู่ในกล้วยสุกงอม ช็อกโกแลต เบียร์ เมล็ดพืชบางประเภท และถั่วต่างๆ
-เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
-น้ำตาล เทียม ผงชูรส และสารเจือปนอาหารอื่นๆ
ส่วน อาหารที่ช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของไมเกรน ได้แก่ อาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม เนยแข็ง นั่นเองค่ะ รู้อย่างนี้แล้ว สาวๆลอรีเอะก็มีวิธีระวังและป้องกันการปวดศีรษะไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือน ได้ถูกทางแล้วล่ะค่ะ
หลาย คนคงเกิดคำถามว่า ทำไม ฮอร์โมนถึงทำให้เราปวดศีรษะได้ การปวด ศีรษะของสาวๆ มีผลพวงที่เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับที่ลดต่ำลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ ผลิตจากรังไข่ ในระหว่างหรือหลังการมีประจำเดือนนั่นเองค่ะ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่อายุประมาณ 14 ปีขึ้นไป โดยปวดศีรษะข้างเดียว ลักษณะปวดเป็นแบบปวดตุ้บๆ หรือแปล๊บๆ ตำแหน่งที่ปวดอาจจะแตกต่างกัน เช่น กระบอกตา ขมับท้ายทอย หรือทั่วศีรษะ หรือสลับข้างซ้ายขวาอย่างรุนแรง บางครั้งอาจทำให้คลื่นไส้หรืออาเจียนได้
วิธีในการป้องกันและลดความรุนแรง ควรเริ่มจากการออกกำลังกายเป็นประจำ สม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายสร้างสารต่อต้านความเจ็บปวด หรือที่เราคุ้นเคยกับคำว่า เอ็นดอร์ฟิน นั่นเองค่ะ เอ็น ดอร์ฟินมีโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างของมอร์ฟีนจึงมีสรรพคุณเหมือนเป็นยาแก้ ปวดอย่างดีเลยทีเดียว ขณะเดียวกันการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้นอนหลับสบาย ระบบฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายปรับตัวสมดุล เมื่อภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลในช่วงมีประจำเดือนลดลง จะส่งผลให้อาการปวดศีรษะไมเกรนลดลงด้วย
นอก จากนั้นควรลดตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนลง เช่น ลดความเครียด ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ รับประทานยาในกลุ่มแอนตี้พรอสตาแกลนดินที่ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนในช่วง ที่มีประจำเดือนได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือ เภสัชกรก่อนใช้ยา โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารนะคะ
ใน การรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนช่วงที่มีรอบเดือน ควรจะดูแลเรื่องการรับประทานอาหารเพิ่มเติมด้วย มีตัวอย่างอาหารบางประเภทที่เป็นของโปรดของสาวๆ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันอาการปวดดังนี้ค่ะ
-กาเฟอีน มักจะพบในชาและกาแฟ
-สารแทนนินและไทรามีน สารแทนนินเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร เช่น ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ไวน์แดง ส่วนสารไทรามีนเป็นสารลดระดับ
เซโรโทนินในร่างกาย ซึ่งมีอยู่ในกล้วยสุกงอม ช็อกโกแลต เบียร์ เมล็ดพืชบางประเภท และถั่วต่างๆ
-เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
-น้ำตาล เทียม ผงชูรส และสารเจือปนอาหารอื่นๆ
ส่วน อาหารที่ช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของไมเกรน ได้แก่ อาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม เนยแข็ง นั่นเองค่ะ รู้อย่างนี้แล้ว สาวๆลอรีเอะก็มีวิธีระวังและป้องกันการปวดศีรษะไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือน ได้ถูกทางแล้วล่ะค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553
วิธีอบรมเด็กตามหลัก พุทธศาสนา
วิธีอบรมเด็กตามหลัก พุทธศาสนา
ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมอยากได้ความสุข ซึ่งปัจจุบันเรามักจะเข้าใจกันว่าทรัพย์คือสิ่งที่จะนำความสุขมาให้ ดัง นั้นเราจึงพยายามที่จะแสวงหาทรัพย์ให้ได้มากที่สุดและแม้การเลี้ยงลูกเราก็ จะพยายามเน้นที่จะอบรมหรือฝึกฝนให้ลูกเป็นคนที่หาเงินได้เก่ง โดยพยายามให้การศึกษาและการฝึกฝนอาชีพให้ได้เก่งกว่าใครๆ ซึ่งการคิดเช่น นี้ก็จะทำให้เราได้คนเก่งแต่ว่าขาดคุณธรรม ซึ่งเด็กที่เก่งโดยไม่มีคุณธรรมนั้นจะเป็นคนเห็นแก่ตัว คือทำอะไรๆก็เพื่อตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงคนอื่น ซึ่งความเห็นแก่ตัวนี้ก็จะทำให้เกิดความ โลภ คืออยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง แล้วการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นทั้งอาจจะในทางที่ถูกและผิดก็จะตามมา อันจะทำให้ทั้งตัวเองก็เดือดร้อนและสังคมก็วุ่นวายอย่างที่กำลังเป็นอยู่ใน สังคมโลกปัจจุบัน
ตามหลักพุทธศาสนาแล้วการอบรม เด็กให้มีคุณธรรมจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าการอบรมให้เด็กเก่ง คือถึงแม้จะมีการสอนเรื่องการศึกษาและอาชีพ แต่ก็มีเรื่องคุณธรรมสอนแทรกอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งคุณธรรมนี้จะช่วยให้เด็กเป็นคนดีและมีปัญญา (ปัญญาในที่นี้หมายถึงความเห็นแจ้งในชีวิต) ที่สำคัญเด็กที่มีคุณธรรมจะ ไม่เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ตัวน้อย เมื่อเห็นแก่ตัวน้อยก็จะเห็นแก่ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ซึ่งคุณธรรมนี้จะนำสันติสุขมาให้สังคมและนำสันติภาพมาให้โลกได้อย่างแน่ นอน ถ้าโลกขาดคุณธรรมโลกก็จะพินาศ ซึ่งคุณธรรมที่จะใช้อบรมเด็กนั้นตามหลักพุทธศาสนาจะสรุปไว้ ๑๐ ประการ อันได้แก่
(๑) เสียสละเพื่อผู้อื่น ซึ่งการเสียสละนี้ก็คือการรู้จักให้ หรือยอม (ให้อภัย) หรือแบ่งปัน หรือการสละสิ่งที่เกินออกไปจากตัวเรา คือตามธรรมชาติของคนเรานี้จะเห็นแก่ตัวและความเห็นแก่ตัวนี้ก็จะทำให้เกิด ความโลภหรืออยากได้สิ่งที่น่าพอใจ (อันได้แก่ สิ่งที่น่ารักน่าใคร่หรือเรื่องทางเพศ, วัตถุ, เกียรติยศชื่อเสียง) อันจะนำไปสู่การแสวงหา แย่งชิง และหวงแหนสิ่งเหล่านี้ แล้วความเดือดร้อนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะจากการแตกความสามัคคี จากอาชญากรรมต่างๆ จากสงคราม จากมลพิษ และจากภัยธรรมชาติ การฝึกให้รู้จักให้หรือเสียสละ เพื่อผู้อื่น ก็เท่ากับเป็นการลดความเดือดร้อนวุ่นวายที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคตด้วย โลกจะลุกเป็นไฟถ้าเราไม่รู้จักให้
(๒) มีศีล ซึ่งการมีศีลก็คือการระวังรักษากาย และวาจาของเราให้เรียบร้อยงดงาม โดยในทางปฏิบัติ ศีลก็คือการไม่เบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม รวมทั้งการงดเว้นการพูดที่ไม่เหมาะสม อันได้แก่การพูดโกหก การพูดคำหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระ ถ้าใครมีศีลก็จะเป็นคนที่สงบและปกติ ถ้าสังคมมีศีล สังคมก็จะสงบสุขและมั่นคง ศีลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่าง ยิ่งถ้าต้องการให้สังคมสงบสุข
(๓) ไม่ลุ่มหลงในกามารมณ์ ซึ่งกามารมณ์นี้ก็คือเรื่องความรัก ความใคร่ หรือความพึงพอใจอย่างยิ่งในสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย (คือจากภาพที่สวยงาม เสียงที่ไพเราะ กลิ่นที่หอมหวน รสที่เอร็ดอร่อย และสัมผัสที่น่าพอใจทางกาย) โดยมีจากเพศตรงข้ามเป็นสิ่งสูงสุด โดยใครที่ติดใจลุ่ม หลงอยู่ในกามารมณ์นี้ก็จะทำให้จิตใจของเขามืดบอด หรือมองไม่เห็นโทษภัยจากกามารมณ์ว่ามันมีโทษภัยตามมามากมายเพียงใด อย่างเช่น โรคติดต่อทางเพศที่ร่ายแรง เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น, ความเหนื่อยยากในการแสวงหา, ภาระที่เพิ่มขึ้น, ความวิตกกังวลเพราะกลัวว่าจะต้องสูญเสียไป, ความทุกข์ตรมเมื่อต้องสูญเสียไป, การฆ่ากันทำร้ายกัน, และการถูกลงโทษเมื่อกามารมณ์ผลักดันให้ต้องทำผิด เป็นต้น ดังนั้นการฝึกให้เอาชนะหรืออยู่เหนือกามารมณ์นี้ได้ ก็เท่ากับเป็นการเอาชนะหรืออยู่เหนือปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ได้ แล้วก็จะหลุดพ้นหรือมีอิสระที่จะเดินไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นและสูงขึ้นต่อไปได้
(๔) มีปัญญา ซึ่งปัญญานี้ก็หมายถึง ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยสิ่งที่ควรรู้สูงสุดก็คือ รู้แจ้ง ชีวิต หรือเห็นแจ้งชีวิต (ส่วนความรู้อื่นๆ เช่น วิชาการต่างๆ อาชีพต่างๆ หรือความรู้เรื่องระบบต่างๆของร่างกาย หรือความรู้เรื่องธรรมชาติรอบๆตัว เป็นต้นนี้ จัดว่าเป็นความรู้รองๆลงมา ซึ่งตามปกติชาวโลกก็สอนกันอยู่แล้ว) ซึ่งปัญญานี้จะมีพื้นฐานมาจากการใช้เหตุผลในการศึกษาธรรมชาติที่เรา สามารถสัมผัสได้จริง และเชื่อในสิ่งที่เราได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น โดยสิ่งที่ศึกษาก็คือร่างกายและจิตใจของเราเองและธรรมชาติรอบๆตัวที่ควรรู้ ผู้ มีปัญญาย่อมเป็นคนฉลาดรอบรู้ มีเหตุมีผล ไม่โง่งมงาย สามารถดำเนินชีวิตให้ถูกต้องจนบรรลุถึงสิ่งสูงสุด (ความไม่มีทุกข์) ของชีวิตได้ ผู้ไร้ปัญญาย่อมมืดบอดและดำเนินชีวิตผิดพลาด จนทำให้ทั้งตัวเองและโลกพินาศได้
(๕) มีความอดทน ซึ่งความอดทนนี้หมายถึง การกระทำสิ่งที่สมควรกระทำ และไม่กระทำในสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ซึ่งที่สมควรกระทำนั้นก็คือสิ่งที่ทำแล้วจะเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเองและ สังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อย่างเช่น การเรียน การทำงาน การช่วยเหลือผู้อื่น และการอบรมปัญญา-สมาธิ เป็นต้น ส่วนสิ่งที่ไม่สมควรทำนั้นก็คือสิ่งที่ทำไปแล้วจะทำให้เกิดปัญหาหรือเกิด ความทุกข์ความเดือดร้อน ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งความอดทนนี้ก็มี ทั้งความอดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้โกรธหรือไม่พอใจ และอดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้รักหรือพอใจ อย่างเช่น อดทนต่อคำด่า หรืออดทนต่อความร้อน ความหนาว และความเหนื่อยยาก เป็นต้น ที่มายั่วให้โกรธหรืออยากทำลาย และอดทนต่อความสนุกสนานเฮฮา ต่อความสวยงามน่ารักใคร่ ต่อความเอร็ดอร่อย ต่อความสุขสบาย ที่มายั่วให้รักหรืออยากได้ เป็นต้น ซึ่งความอดทนสูงสุดก็คือ อดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้รักหรืออยากได้ที่จะนำปัญหามาให้ในภายหลัง ความอดทนจึงเป็นเครื่องกำจัดนิสัยเลวร้ายของจิตใจมนุษย์ที่ดีที่สุด
(๖) มีความพากเพียร ซึ่งความเพียรก็คือ ความขยันหรือความพยายามอดทนทำอย่างต่อเนื่อง คือการที่เราจะทำสิ่งใดให้บรรลุถึงเป้าหมายได้ เราต้องมีความเพียรมาช่วยจึงจะสำเร็จ ถ้าขาดความเพียรจะไม่มีทางสำเร็จ อย่างเช่น เด็กที่มีความพากเพียรในการเรียนก็จะเรียนจบและมีความรู้มาก หรือผู้ที่จะฝึกฝนสิ่งใดก็ต้องขยันฝึกอยู่เสมอๆไม่ละทิ้ง ก็ย่อมที่จะประสบผลสำเร็จได้ เป็นต้น ซึ่งความเพียรนี้เรียกอีกอย่างว่าเป็น ความกล้าหาญ เพราะ ไม่เกลงกลัวปัญหาที่ขวางหน้า แม้ปัญหานั้นจะใหญ่โตสักเพียงใดก็ตามก็สามารถเอาชนะปัญหานั้นได้โดยใช้ความ เพียร ส่วนศัตรูของความเพียรก็คือความเกียจคร้าน (ความไม่อดทนต่อความยากลำบาก) คือแม้จะเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย ถ้าเกียจคร้านก็เอาชนะปัญหานั้นไม่ได้
(๗) มีความจริงใจ ซึ่งความจริงใจนี้ก็คือความซื่อสัตย์ ซึ่งก็มีทั้งซื่อสัตย์ต่อตนเอง คือเป็นคนไม่เหลาะแหละโลเล และซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น คือเมื่อรับปากว่าจะทำสิ่งใดแล้วก็จะทำตามนั้นไม่บิดพลิ้วอย่างเด็ดขาด ซึ่ง คนที่มีความจริงใจเท่านั้นจึงจะได้พบกับความจริงสูงสุด (คือเห็นแจ้งชีวิต) รวมทั้งเป็นที่รักและเคารพของคนที่รู้จัก ส่วนคนที่ไม่มีความจริงใจก็จะไม่พบความจริงสูงสูดและไม่มีใครรักเคารพ
(๘) มีความมั่นคง ซึ่งความมั่นคงนี้ก็ คือความตั้งใจมั่นไม่เปลี่ยนแปลง คือเมื่อเราตั้งใจที่จะทำสิ่งใดที่มองเห็นแล้วว่าสามารถทำได้แล้วก็จะต้องทำ สิ่งนั้นให้สำเร็จจนได้ แม้จะต้องประสบกับอุปสรรค์หรือปัญหาอย่างยิ่งก็ตาม โดยการที่เราทำสิ่งใด อย่างต่อเนื่องและมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้จิตเกิดพลังหรือสมาธิขึ้นมาได้ ซึ่งความมั่นคงนี้ก็คือจุดสูงสุดของความอดทน ความเพียร และความจริงใจ คือเราต้องทำด้วยความซื่อสัตย์หรือจริงใจอย่างอดทนและอย่างต่อเนื่อง จนประสบผลสำเร็จ จึงจะกลายเป็นความมั่นคงได้
(๙) มีความเป็นมิตร ซึ่งความเป็นมิตรนี้ ก็คือความไม่เป็นศัตรูกับใครๆ หรือไม่โกรธเกลียดใครๆ เมื่อไม่มีความโกรธเกลียดใครๆเราก็จะรักทุกคนอย่างเสมอหน้า แม้คนที่เรารักนั้นจะโกรธเกลียดเราก็ตาม และเมื่อมีความรักก็ย่อมที่จะมีความคิดที่จะช่วยเหลือทุกคนที่กำลังประสบกับ ความทุกข์ หรือความเดือดร้อนอยู่ให้หลุดพ้นจากความทุกข์และความเดือดร้อนเท่าที่จะ สามารถทำได้ อีกทั้งเมื่อเราไม่เป็นศัตรูกับใครๆ แม้ศัตรูก็ยังเคารพและจะกลายมาเป็นมิตรได้ ความเป็นมิตรนี้เองที่จะทำให้โลกมีสันติภาพได้ ส่วนการเป็นศัตรูกันหรือเอาชนะกัน ก็มีแต่จะสร้างวิกฤติและทำลายโลกได้ ซึ่งสิ่งที่จะทำลายมิตรภาพก็คือความเห็นแก่ตัว และมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น การฝึกให้เกิดมิตรภาพก็คือการฝึกให้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง
(๑๐) มีความใจเย็น ซึ่งความใจเย็นนี้ก็คือความที่มีใจสงบนิ่ง และเพ่งมอง โลกด้วยใจอันสงบ ไม่มีความยินดี-ยินร้ายใดๆ เมื่อต้องประสบกับปัญหาก็จะแก้ไขด้วยความใจเย็น ไม่รีบร้อนและเฉื่อยชา เมื่อต้องตัดสินใจ ก็จะตัดสินใจด้วยความยุติธรรม ไม่เอนเอียงเข้าข้างใครด้วยความรักหรือเกลียดก็ตาม ซึ่งผู้ที่มีความใจ เย็นนี้ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพนับถือมาก เหมาะที่จะเป็นผู้นำของสังคม การฝึกให้มีความใจเย็นนี้ก็ทำได้โดยการฝึกให้มีสมาธิมากๆควบคู่กับการฝึกให้ มีคุณธรรมอื่นๆด้วย โดยความใจเย็นนี้จะเป็นสุดยอดของคุณธรรม คือเมื่อเรามีคุณธรรมอื่นๆ พร้อมแล้วก็จะส่งเสริมให้เกิดความใจเย็นขึ้นมาโดยง่าย
คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้จัดว่าเป็นความดีสากล คือเป็นสิ่งดีงามที่มนุษย์ทุกคนยอมรับและใครๆก็ปฏิบัติได้ อีกทั้งยังเป็นแนวทางสู่สันติภาพของโลกอีกด้วย ถ้าโลกขาดคุณธรรมเหล่านี้ โลกก็จะมีแต่วิกฤติการณ์และจะพินาศ การสร้างโลกให้มีสันติภาพก็ต้องเริ่มจากการสร้างเด็กให้มีคุณธรรมหรือ ศีลธรรม จึงขอฝากให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้มาช่วยกันสร้างเด็กของเราให้เป็นผู้มี คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้ให้เพียงพอ เพื่อสันติภาพอันยั่งยืนของโลกกันต่อไป.
เตชะปัญโญ ภิกขุ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๒
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net – www.whatami.8m.com)
ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมอยากได้ความสุข ซึ่งปัจจุบันเรามักจะเข้าใจกันว่าทรัพย์คือสิ่งที่จะนำความสุขมาให้ ดัง นั้นเราจึงพยายามที่จะแสวงหาทรัพย์ให้ได้มากที่สุดและแม้การเลี้ยงลูกเราก็ จะพยายามเน้นที่จะอบรมหรือฝึกฝนให้ลูกเป็นคนที่หาเงินได้เก่ง โดยพยายามให้การศึกษาและการฝึกฝนอาชีพให้ได้เก่งกว่าใครๆ ซึ่งการคิดเช่น นี้ก็จะทำให้เราได้คนเก่งแต่ว่าขาดคุณธรรม ซึ่งเด็กที่เก่งโดยไม่มีคุณธรรมนั้นจะเป็นคนเห็นแก่ตัว คือทำอะไรๆก็เพื่อตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงคนอื่น ซึ่งความเห็นแก่ตัวนี้ก็จะทำให้เกิดความ โลภ คืออยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง แล้วการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นทั้งอาจจะในทางที่ถูกและผิดก็จะตามมา อันจะทำให้ทั้งตัวเองก็เดือดร้อนและสังคมก็วุ่นวายอย่างที่กำลังเป็นอยู่ใน สังคมโลกปัจจุบัน
ตามหลักพุทธศาสนาแล้วการอบรม เด็กให้มีคุณธรรมจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าการอบรมให้เด็กเก่ง คือถึงแม้จะมีการสอนเรื่องการศึกษาและอาชีพ แต่ก็มีเรื่องคุณธรรมสอนแทรกอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งคุณธรรมนี้จะช่วยให้เด็กเป็นคนดีและมีปัญญา (ปัญญาในที่นี้หมายถึงความเห็นแจ้งในชีวิต) ที่สำคัญเด็กที่มีคุณธรรมจะ ไม่เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ตัวน้อย เมื่อเห็นแก่ตัวน้อยก็จะเห็นแก่ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ซึ่งคุณธรรมนี้จะนำสันติสุขมาให้สังคมและนำสันติภาพมาให้โลกได้อย่างแน่ นอน ถ้าโลกขาดคุณธรรมโลกก็จะพินาศ ซึ่งคุณธรรมที่จะใช้อบรมเด็กนั้นตามหลักพุทธศาสนาจะสรุปไว้ ๑๐ ประการ อันได้แก่
(๑) เสียสละเพื่อผู้อื่น ซึ่งการเสียสละนี้ก็คือการรู้จักให้ หรือยอม (ให้อภัย) หรือแบ่งปัน หรือการสละสิ่งที่เกินออกไปจากตัวเรา คือตามธรรมชาติของคนเรานี้จะเห็นแก่ตัวและความเห็นแก่ตัวนี้ก็จะทำให้เกิด ความโลภหรืออยากได้สิ่งที่น่าพอใจ (อันได้แก่ สิ่งที่น่ารักน่าใคร่หรือเรื่องทางเพศ, วัตถุ, เกียรติยศชื่อเสียง) อันจะนำไปสู่การแสวงหา แย่งชิง และหวงแหนสิ่งเหล่านี้ แล้วความเดือดร้อนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะจากการแตกความสามัคคี จากอาชญากรรมต่างๆ จากสงคราม จากมลพิษ และจากภัยธรรมชาติ การฝึกให้รู้จักให้หรือเสียสละ เพื่อผู้อื่น ก็เท่ากับเป็นการลดความเดือดร้อนวุ่นวายที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคตด้วย โลกจะลุกเป็นไฟถ้าเราไม่รู้จักให้
(๒) มีศีล ซึ่งการมีศีลก็คือการระวังรักษากาย และวาจาของเราให้เรียบร้อยงดงาม โดยในทางปฏิบัติ ศีลก็คือการไม่เบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม รวมทั้งการงดเว้นการพูดที่ไม่เหมาะสม อันได้แก่การพูดโกหก การพูดคำหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระ ถ้าใครมีศีลก็จะเป็นคนที่สงบและปกติ ถ้าสังคมมีศีล สังคมก็จะสงบสุขและมั่นคง ศีลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่าง ยิ่งถ้าต้องการให้สังคมสงบสุข
(๓) ไม่ลุ่มหลงในกามารมณ์ ซึ่งกามารมณ์นี้ก็คือเรื่องความรัก ความใคร่ หรือความพึงพอใจอย่างยิ่งในสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย (คือจากภาพที่สวยงาม เสียงที่ไพเราะ กลิ่นที่หอมหวน รสที่เอร็ดอร่อย และสัมผัสที่น่าพอใจทางกาย) โดยมีจากเพศตรงข้ามเป็นสิ่งสูงสุด โดยใครที่ติดใจลุ่ม หลงอยู่ในกามารมณ์นี้ก็จะทำให้จิตใจของเขามืดบอด หรือมองไม่เห็นโทษภัยจากกามารมณ์ว่ามันมีโทษภัยตามมามากมายเพียงใด อย่างเช่น โรคติดต่อทางเพศที่ร่ายแรง เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น, ความเหนื่อยยากในการแสวงหา, ภาระที่เพิ่มขึ้น, ความวิตกกังวลเพราะกลัวว่าจะต้องสูญเสียไป, ความทุกข์ตรมเมื่อต้องสูญเสียไป, การฆ่ากันทำร้ายกัน, และการถูกลงโทษเมื่อกามารมณ์ผลักดันให้ต้องทำผิด เป็นต้น ดังนั้นการฝึกให้เอาชนะหรืออยู่เหนือกามารมณ์นี้ได้ ก็เท่ากับเป็นการเอาชนะหรืออยู่เหนือปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ได้ แล้วก็จะหลุดพ้นหรือมีอิสระที่จะเดินไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นและสูงขึ้นต่อไปได้
(๔) มีปัญญา ซึ่งปัญญานี้ก็หมายถึง ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยสิ่งที่ควรรู้สูงสุดก็คือ รู้แจ้ง ชีวิต หรือเห็นแจ้งชีวิต (ส่วนความรู้อื่นๆ เช่น วิชาการต่างๆ อาชีพต่างๆ หรือความรู้เรื่องระบบต่างๆของร่างกาย หรือความรู้เรื่องธรรมชาติรอบๆตัว เป็นต้นนี้ จัดว่าเป็นความรู้รองๆลงมา ซึ่งตามปกติชาวโลกก็สอนกันอยู่แล้ว) ซึ่งปัญญานี้จะมีพื้นฐานมาจากการใช้เหตุผลในการศึกษาธรรมชาติที่เรา สามารถสัมผัสได้จริง และเชื่อในสิ่งที่เราได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น โดยสิ่งที่ศึกษาก็คือร่างกายและจิตใจของเราเองและธรรมชาติรอบๆตัวที่ควรรู้ ผู้ มีปัญญาย่อมเป็นคนฉลาดรอบรู้ มีเหตุมีผล ไม่โง่งมงาย สามารถดำเนินชีวิตให้ถูกต้องจนบรรลุถึงสิ่งสูงสุด (ความไม่มีทุกข์) ของชีวิตได้ ผู้ไร้ปัญญาย่อมมืดบอดและดำเนินชีวิตผิดพลาด จนทำให้ทั้งตัวเองและโลกพินาศได้
(๕) มีความอดทน ซึ่งความอดทนนี้หมายถึง การกระทำสิ่งที่สมควรกระทำ และไม่กระทำในสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ซึ่งที่สมควรกระทำนั้นก็คือสิ่งที่ทำแล้วจะเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเองและ สังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อย่างเช่น การเรียน การทำงาน การช่วยเหลือผู้อื่น และการอบรมปัญญา-สมาธิ เป็นต้น ส่วนสิ่งที่ไม่สมควรทำนั้นก็คือสิ่งที่ทำไปแล้วจะทำให้เกิดปัญหาหรือเกิด ความทุกข์ความเดือดร้อน ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งความอดทนนี้ก็มี ทั้งความอดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้โกรธหรือไม่พอใจ และอดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้รักหรือพอใจ อย่างเช่น อดทนต่อคำด่า หรืออดทนต่อความร้อน ความหนาว และความเหนื่อยยาก เป็นต้น ที่มายั่วให้โกรธหรืออยากทำลาย และอดทนต่อความสนุกสนานเฮฮา ต่อความสวยงามน่ารักใคร่ ต่อความเอร็ดอร่อย ต่อความสุขสบาย ที่มายั่วให้รักหรืออยากได้ เป็นต้น ซึ่งความอดทนสูงสุดก็คือ อดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้รักหรืออยากได้ที่จะนำปัญหามาให้ในภายหลัง ความอดทนจึงเป็นเครื่องกำจัดนิสัยเลวร้ายของจิตใจมนุษย์ที่ดีที่สุด
(๖) มีความพากเพียร ซึ่งความเพียรก็คือ ความขยันหรือความพยายามอดทนทำอย่างต่อเนื่อง คือการที่เราจะทำสิ่งใดให้บรรลุถึงเป้าหมายได้ เราต้องมีความเพียรมาช่วยจึงจะสำเร็จ ถ้าขาดความเพียรจะไม่มีทางสำเร็จ อย่างเช่น เด็กที่มีความพากเพียรในการเรียนก็จะเรียนจบและมีความรู้มาก หรือผู้ที่จะฝึกฝนสิ่งใดก็ต้องขยันฝึกอยู่เสมอๆไม่ละทิ้ง ก็ย่อมที่จะประสบผลสำเร็จได้ เป็นต้น ซึ่งความเพียรนี้เรียกอีกอย่างว่าเป็น ความกล้าหาญ เพราะ ไม่เกลงกลัวปัญหาที่ขวางหน้า แม้ปัญหานั้นจะใหญ่โตสักเพียงใดก็ตามก็สามารถเอาชนะปัญหานั้นได้โดยใช้ความ เพียร ส่วนศัตรูของความเพียรก็คือความเกียจคร้าน (ความไม่อดทนต่อความยากลำบาก) คือแม้จะเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย ถ้าเกียจคร้านก็เอาชนะปัญหานั้นไม่ได้
(๗) มีความจริงใจ ซึ่งความจริงใจนี้ก็คือความซื่อสัตย์ ซึ่งก็มีทั้งซื่อสัตย์ต่อตนเอง คือเป็นคนไม่เหลาะแหละโลเล และซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น คือเมื่อรับปากว่าจะทำสิ่งใดแล้วก็จะทำตามนั้นไม่บิดพลิ้วอย่างเด็ดขาด ซึ่ง คนที่มีความจริงใจเท่านั้นจึงจะได้พบกับความจริงสูงสุด (คือเห็นแจ้งชีวิต) รวมทั้งเป็นที่รักและเคารพของคนที่รู้จัก ส่วนคนที่ไม่มีความจริงใจก็จะไม่พบความจริงสูงสูดและไม่มีใครรักเคารพ
(๘) มีความมั่นคง ซึ่งความมั่นคงนี้ก็ คือความตั้งใจมั่นไม่เปลี่ยนแปลง คือเมื่อเราตั้งใจที่จะทำสิ่งใดที่มองเห็นแล้วว่าสามารถทำได้แล้วก็จะต้องทำ สิ่งนั้นให้สำเร็จจนได้ แม้จะต้องประสบกับอุปสรรค์หรือปัญหาอย่างยิ่งก็ตาม โดยการที่เราทำสิ่งใด อย่างต่อเนื่องและมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้จิตเกิดพลังหรือสมาธิขึ้นมาได้ ซึ่งความมั่นคงนี้ก็คือจุดสูงสุดของความอดทน ความเพียร และความจริงใจ คือเราต้องทำด้วยความซื่อสัตย์หรือจริงใจอย่างอดทนและอย่างต่อเนื่อง จนประสบผลสำเร็จ จึงจะกลายเป็นความมั่นคงได้
(๙) มีความเป็นมิตร ซึ่งความเป็นมิตรนี้ ก็คือความไม่เป็นศัตรูกับใครๆ หรือไม่โกรธเกลียดใครๆ เมื่อไม่มีความโกรธเกลียดใครๆเราก็จะรักทุกคนอย่างเสมอหน้า แม้คนที่เรารักนั้นจะโกรธเกลียดเราก็ตาม และเมื่อมีความรักก็ย่อมที่จะมีความคิดที่จะช่วยเหลือทุกคนที่กำลังประสบกับ ความทุกข์ หรือความเดือดร้อนอยู่ให้หลุดพ้นจากความทุกข์และความเดือดร้อนเท่าที่จะ สามารถทำได้ อีกทั้งเมื่อเราไม่เป็นศัตรูกับใครๆ แม้ศัตรูก็ยังเคารพและจะกลายมาเป็นมิตรได้ ความเป็นมิตรนี้เองที่จะทำให้โลกมีสันติภาพได้ ส่วนการเป็นศัตรูกันหรือเอาชนะกัน ก็มีแต่จะสร้างวิกฤติและทำลายโลกได้ ซึ่งสิ่งที่จะทำลายมิตรภาพก็คือความเห็นแก่ตัว และมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น การฝึกให้เกิดมิตรภาพก็คือการฝึกให้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง
(๑๐) มีความใจเย็น ซึ่งความใจเย็นนี้ก็คือความที่มีใจสงบนิ่ง และเพ่งมอง โลกด้วยใจอันสงบ ไม่มีความยินดี-ยินร้ายใดๆ เมื่อต้องประสบกับปัญหาก็จะแก้ไขด้วยความใจเย็น ไม่รีบร้อนและเฉื่อยชา เมื่อต้องตัดสินใจ ก็จะตัดสินใจด้วยความยุติธรรม ไม่เอนเอียงเข้าข้างใครด้วยความรักหรือเกลียดก็ตาม ซึ่งผู้ที่มีความใจ เย็นนี้ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพนับถือมาก เหมาะที่จะเป็นผู้นำของสังคม การฝึกให้มีความใจเย็นนี้ก็ทำได้โดยการฝึกให้มีสมาธิมากๆควบคู่กับการฝึกให้ มีคุณธรรมอื่นๆด้วย โดยความใจเย็นนี้จะเป็นสุดยอดของคุณธรรม คือเมื่อเรามีคุณธรรมอื่นๆ พร้อมแล้วก็จะส่งเสริมให้เกิดความใจเย็นขึ้นมาโดยง่าย
คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้จัดว่าเป็นความดีสากล คือเป็นสิ่งดีงามที่มนุษย์ทุกคนยอมรับและใครๆก็ปฏิบัติได้ อีกทั้งยังเป็นแนวทางสู่สันติภาพของโลกอีกด้วย ถ้าโลกขาดคุณธรรมเหล่านี้ โลกก็จะมีแต่วิกฤติการณ์และจะพินาศ การสร้างโลกให้มีสันติภาพก็ต้องเริ่มจากการสร้างเด็กให้มีคุณธรรมหรือ ศีลธรรม จึงขอฝากให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้มาช่วยกันสร้างเด็กของเราให้เป็นผู้มี คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้ให้เพียงพอ เพื่อสันติภาพอันยั่งยืนของโลกกันต่อไป.
เตชะปัญโญ ภิกขุ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๒
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net – www.whatami.8m.com)
*** 12 วิธี เลี้ยงลูกให้ดี-อีคิวสูง
*** 12 วิธี เลี้ยงลูกให้ดี-อีคิวสูง
1. ให้ความรัก เป็นข้อแรกที่สำคัญมาก และไม่เพียงแต่ให้ความรักเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมอีกด้วย บางคนรักลูกแต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นเลย กระนั้น การยิ้มให้ การสัมผัส การกอด โอบไหล่ ล้วนแล้วแต่เป็นภาษากายที่บ่งบอกถึงความรักของพ่อแม่ ต่อลูกได้เป็นอย่างดี
2. ครอบครัวมีสุข การที่คุณพ่อ คุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมถึงมีทัศนคติ ความคิดเห็นในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน หรือถ้ามีความขัดแย้งบ้าง ก็ควรมีการพูดคุย ตกลงกันให้เป็นทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ดี คุณหมอ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ขัดแย้งกันเองในการวางกฎเกณฑ์ โดยครอบครัวหนึ่ง มีลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบ ร้องไห้เพราะอยากเล่นลิปสติกของแม่ กับเรื่องนี้ คุณผู้หญิงทั้งหลายคงทราบดีว่า ที่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกเล่น เพราะลิปสติกจะหักเสียหายได้ แต่หากเวลาอยู่กับพ่อ พ่ออนุญาตให้ลูกเล่นได้ หรือพ่อเห็นลูกร้องไห้ ก็ต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกว่า "เรื่องแค่นี้เอง ก็ให้ลูกเล่นไปสิ" ส่งผลให้เด็กสับสน ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ว่า เรื่องนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรตกลงกันด้วยเหตุผลให้เรียบร้อยก ่อน จะได้ควบคุมเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกันได้
3. รู้-เข้าใจพัฒนาการของลูก จะทำให้เข้าใจ และปฏิบัติตัวต่อลูกได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ซึ่งพัฒนาการไม่ได้หยุด หรือหมดไปเมื่อพ้นวัยอนุบาล แต่จะต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นก็มีพัฒนาการของวัย และสำคัญมากด้วย แต่ส่วนใหญ่ คุณพ่อคุณแม่หลายคนปฏิบัติต่อลูกที่เข้าช่วงวัยรุ่นแ บบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะคิดว่าลูกมีพัฒนาการเหมือน 2-3 ปีก่อน
ขอบคุณภาพจาก www.zastavki.com
ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อ คุณแม่บางคนอยากรู้เรื่องของลูกก็ใช้วิธีแอบฟังโทรศั พท์เวลาลูกคุยกับเพื่อน แอบเปิดค้นกระเป๋า แอบดูไดอารี่ สมุดบันทึกของลูก เกือบร้อยทั้งร้อย เมื่อลูกรู้ คงต้องโกรธเป็นอย่างมาก เพราะไปกระทบกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่สำคัญ นั่นคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรมีความรู้ และความเข้าใจพัฒนาการของลูกด้วย จะช่วยให้ปฏิบัติต่อลูกได้อย่างเหมาะสม
4. พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกให้มากที่สุด ถ้าพ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่ อย่างน้อย ตกกลางคืน ก็ควรให้เวลากับลูกบ้าง เพราะจะได้มีประสบการณ์ และได้รับรู้ความรู้สึกของการตื่นขึ้นมาให้นมลูก เวลาลูกร้องหิวตอนกลางคืน หรือได้โอบกอด และปลอบให้ลูกหลับต่อ นั่นจะยิ่งทำให้พ่อแม่รัก และเข้าใจในตัวลูกมากขึ้น
5. ส่งเสริมให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เมื่อลูกทำดี หรือประสบความสำเร็จ คุณพ่อคุณแม่ต้องชม เมื่อลูกท้อแท้ ก็ควรให้กำลังใจ ซึ่งบางคนบอกว่า ชมมากเดี๋ยวลูกจะเหลิง แต่การชมไม่ให้เหลิง คือการชมอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล นั่นจะช่วยให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตัวเอง เป็นเรื่องที่มีค่าต่อความรู้สึกของลูกมาก
6. ให้อิสระ-โอกาสในการตัดสินใจ จะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าทำ ไม่พยายามบังคับความคิดลูก (ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องของกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย)
7. สอนลูกให้รักตัวเอง-รักคนอื่น พ่อแม่สอนลูกให้รู้สึกเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ผู้อื่นด้วย เช่น พาลูกไปให้ของเด็กพิการ ตามสถานสงเคราะห์ หรือให้ผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา
8. ให้ลูกรู้จักคิดเป็นเหตุ-เป็นผล โดยส่งเสริมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำว ัน และเรื่องสำคัญๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกอยากจะซื้อของเล่น ของใช้ที่แพงๆ หรือเป็นของที่มีอยู่แล้วก็สอนให้ลูกรู้จักใช้หลักกา รและเหตุผลว่าควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ เพราะอะไร เป็นต้น
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
9. สอนลูกรู้จักหาความสุขให้ตัวเอง ข้อนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะเด็กหลายคนที่เก่ง ประสบความสำเร็จในการเรียน กีฬา แต่ไม่มีความสุข เนื่องจากเครียดอยู่ตลอดเวลาในการที่จะรักษาความเก่ง ของตัวเองไว้ให้ได้ตลอดไป หรือให้เก่งมากขึ้นเพื่อเอาชนะคนอื่น
10. เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ เป็นตัวอย่างให้ลูกทำสิ่งดีๆ แล้วลูกจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ในแบบที่ไม่ต้องพูด หรือสอนเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือนิสัยรักการอ่าน ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เช่น เวลาอยู่บ้านว่างๆ ก็จะหยิบหนังสือมาอ่าน ชอบที่จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง พูดคุยกับลูกถึงเรื่องในหนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ก็มักจะแวะเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ แบบนี้ลูกก็มักจะติดนิสัยรักการอ่านหนังสือไปโดยไม่ร ู้ตัว
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การฝึกให้ลูกรู้จัก ช่วยเหลือตัวเอง และรับผิดชอบ เช่นหลังกินข้าวเสร็จ ถึงแม้ว่าจะมีคนงานที่บ้าน ก็ควรให้ลูกยกจานที่ทานเสร็จ ช่วยเขี่ยเศษอาหารใส่ถังขยะ แล้ววางบนอ่างล้างจานในบ้าน (ให้คนงานล้างต่อไป) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรทำเป็นตัวอย่าง ลูกเห็นก็อยากทำตาม แล้วยังสอนการมีน้ำใจต่อคนงานอีกด้วย ท่านผู้อ่านลองนึกภาพนะครับว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ทำเป็นตัวอย่าง กินตรงไหนเสร็จแล้วก็ลุกออกไป ให้คนงานมาตามคอยเก็บ แต่สั่งให้ลูกทำลูกจะคิดอย่างไร
11. กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยในบ้านต้องพอดี กับเรื่องนี้ พบว่าเด็กที่ E.Q. ดี มักอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก ความเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็สอนให้รู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร และควบคุมเรื่องของกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยในลักษณะทางสา ยกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ควบคุมมากเกินไป หรือน้อยเกินไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และมีรายละเอียดมาก
12. ระบบการศึกษาก็มีส่วนเอี่ยวกับอีคิว คง เคยได้ยินคำพูดที่ว่าการศึกษาสร้างคน ดังนั้น การศึกษาย่อมส่งผลต่อ E.Q. ของลูกด้วย ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรทำความเข้าใจกับระบบการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ของเด็กด้วย
เห็นได้ว่า ทุกวันนี้ พ่อแม่จะให้ลูกฉลาดอย่างเดียว คงไม่พอ แต่ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกา รดำเนินชีวิตด้วย เพื่อที่เด็กจะได้มีพื้นฐานในการปรับตัวให้เข้ากับสั งคมได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเข้าใจตัวเอง และคนอื่นได้เป็นอย่างดี
/// ข้อมูลประกอบข่าว ///
E.Q. ย่อมาจาก Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คนที่มีอีคิวดี คือ คนที่รู้จักและเข้าใจอารมณ์ตัวเองได้ รู้จักแยกแยะควบคุมอารมณ์ได้ และสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะและปรั บตัวให้เข้ากับสังคมอย่างเหมาะสม ช่วงไม่กี่ปีมานี้ กระแสอีคิวกำลังมาแรง อาจเป็นด้วยว่าภาพสะท้อนของผู้คนในสังคมเริ่มเปลี่ยน แปลง เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม ระบบของอีคิวจะเริ่มเสีย รัฐจึงควรหาปัจจัยเกื้อหนุนส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจให ้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าระยะ 10 ปีที่ผ่านมาสุขภาพจิตของคนเราเสื่อมลงมาก มีปริมาณคนไข้ทางจิตสูงขึ้น
1. ให้ความรัก เป็นข้อแรกที่สำคัญมาก และไม่เพียงแต่ให้ความรักเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมอีกด้วย บางคนรักลูกแต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นเลย กระนั้น การยิ้มให้ การสัมผัส การกอด โอบไหล่ ล้วนแล้วแต่เป็นภาษากายที่บ่งบอกถึงความรักของพ่อแม่ ต่อลูกได้เป็นอย่างดี
2. ครอบครัวมีสุข การที่คุณพ่อ คุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมถึงมีทัศนคติ ความคิดเห็นในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน หรือถ้ามีความขัดแย้งบ้าง ก็ควรมีการพูดคุย ตกลงกันให้เป็นทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ดี คุณหมอ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ขัดแย้งกันเองในการวางกฎเกณฑ์ โดยครอบครัวหนึ่ง มีลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบ ร้องไห้เพราะอยากเล่นลิปสติกของแม่ กับเรื่องนี้ คุณผู้หญิงทั้งหลายคงทราบดีว่า ที่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกเล่น เพราะลิปสติกจะหักเสียหายได้ แต่หากเวลาอยู่กับพ่อ พ่ออนุญาตให้ลูกเล่นได้ หรือพ่อเห็นลูกร้องไห้ ก็ต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกว่า "เรื่องแค่นี้เอง ก็ให้ลูกเล่นไปสิ" ส่งผลให้เด็กสับสน ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ว่า เรื่องนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรตกลงกันด้วยเหตุผลให้เรียบร้อยก ่อน จะได้ควบคุมเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกันได้
3. รู้-เข้าใจพัฒนาการของลูก จะทำให้เข้าใจ และปฏิบัติตัวต่อลูกได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ซึ่งพัฒนาการไม่ได้หยุด หรือหมดไปเมื่อพ้นวัยอนุบาล แต่จะต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นก็มีพัฒนาการของวัย และสำคัญมากด้วย แต่ส่วนใหญ่ คุณพ่อคุณแม่หลายคนปฏิบัติต่อลูกที่เข้าช่วงวัยรุ่นแ บบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะคิดว่าลูกมีพัฒนาการเหมือน 2-3 ปีก่อน
ขอบคุณภาพจาก www.zastavki.com
ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อ คุณแม่บางคนอยากรู้เรื่องของลูกก็ใช้วิธีแอบฟังโทรศั พท์เวลาลูกคุยกับเพื่อน แอบเปิดค้นกระเป๋า แอบดูไดอารี่ สมุดบันทึกของลูก เกือบร้อยทั้งร้อย เมื่อลูกรู้ คงต้องโกรธเป็นอย่างมาก เพราะไปกระทบกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่สำคัญ นั่นคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรมีความรู้ และความเข้าใจพัฒนาการของลูกด้วย จะช่วยให้ปฏิบัติต่อลูกได้อย่างเหมาะสม
4. พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกให้มากที่สุด ถ้าพ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่ อย่างน้อย ตกกลางคืน ก็ควรให้เวลากับลูกบ้าง เพราะจะได้มีประสบการณ์ และได้รับรู้ความรู้สึกของการตื่นขึ้นมาให้นมลูก เวลาลูกร้องหิวตอนกลางคืน หรือได้โอบกอด และปลอบให้ลูกหลับต่อ นั่นจะยิ่งทำให้พ่อแม่รัก และเข้าใจในตัวลูกมากขึ้น
5. ส่งเสริมให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เมื่อลูกทำดี หรือประสบความสำเร็จ คุณพ่อคุณแม่ต้องชม เมื่อลูกท้อแท้ ก็ควรให้กำลังใจ ซึ่งบางคนบอกว่า ชมมากเดี๋ยวลูกจะเหลิง แต่การชมไม่ให้เหลิง คือการชมอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล นั่นจะช่วยให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตัวเอง เป็นเรื่องที่มีค่าต่อความรู้สึกของลูกมาก
6. ให้อิสระ-โอกาสในการตัดสินใจ จะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าทำ ไม่พยายามบังคับความคิดลูก (ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องของกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย)
7. สอนลูกให้รักตัวเอง-รักคนอื่น พ่อแม่สอนลูกให้รู้สึกเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ผู้อื่นด้วย เช่น พาลูกไปให้ของเด็กพิการ ตามสถานสงเคราะห์ หรือให้ผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา
8. ให้ลูกรู้จักคิดเป็นเหตุ-เป็นผล โดยส่งเสริมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำว ัน และเรื่องสำคัญๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกอยากจะซื้อของเล่น ของใช้ที่แพงๆ หรือเป็นของที่มีอยู่แล้วก็สอนให้ลูกรู้จักใช้หลักกา รและเหตุผลว่าควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ เพราะอะไร เป็นต้น
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
9. สอนลูกรู้จักหาความสุขให้ตัวเอง ข้อนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะเด็กหลายคนที่เก่ง ประสบความสำเร็จในการเรียน กีฬา แต่ไม่มีความสุข เนื่องจากเครียดอยู่ตลอดเวลาในการที่จะรักษาความเก่ง ของตัวเองไว้ให้ได้ตลอดไป หรือให้เก่งมากขึ้นเพื่อเอาชนะคนอื่น
10. เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ เป็นตัวอย่างให้ลูกทำสิ่งดีๆ แล้วลูกจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ในแบบที่ไม่ต้องพูด หรือสอนเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือนิสัยรักการอ่าน ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เช่น เวลาอยู่บ้านว่างๆ ก็จะหยิบหนังสือมาอ่าน ชอบที่จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง พูดคุยกับลูกถึงเรื่องในหนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ก็มักจะแวะเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ แบบนี้ลูกก็มักจะติดนิสัยรักการอ่านหนังสือไปโดยไม่ร ู้ตัว
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การฝึกให้ลูกรู้จัก ช่วยเหลือตัวเอง และรับผิดชอบ เช่นหลังกินข้าวเสร็จ ถึงแม้ว่าจะมีคนงานที่บ้าน ก็ควรให้ลูกยกจานที่ทานเสร็จ ช่วยเขี่ยเศษอาหารใส่ถังขยะ แล้ววางบนอ่างล้างจานในบ้าน (ให้คนงานล้างต่อไป) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรทำเป็นตัวอย่าง ลูกเห็นก็อยากทำตาม แล้วยังสอนการมีน้ำใจต่อคนงานอีกด้วย ท่านผู้อ่านลองนึกภาพนะครับว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ทำเป็นตัวอย่าง กินตรงไหนเสร็จแล้วก็ลุกออกไป ให้คนงานมาตามคอยเก็บ แต่สั่งให้ลูกทำลูกจะคิดอย่างไร
11. กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยในบ้านต้องพอดี กับเรื่องนี้ พบว่าเด็กที่ E.Q. ดี มักอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก ความเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็สอนให้รู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร และควบคุมเรื่องของกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยในลักษณะทางสา ยกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ควบคุมมากเกินไป หรือน้อยเกินไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และมีรายละเอียดมาก
12. ระบบการศึกษาก็มีส่วนเอี่ยวกับอีคิว คง เคยได้ยินคำพูดที่ว่าการศึกษาสร้างคน ดังนั้น การศึกษาย่อมส่งผลต่อ E.Q. ของลูกด้วย ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรทำความเข้าใจกับระบบการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ของเด็กด้วย
เห็นได้ว่า ทุกวันนี้ พ่อแม่จะให้ลูกฉลาดอย่างเดียว คงไม่พอ แต่ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกา รดำเนินชีวิตด้วย เพื่อที่เด็กจะได้มีพื้นฐานในการปรับตัวให้เข้ากับสั งคมได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเข้าใจตัวเอง และคนอื่นได้เป็นอย่างดี
/// ข้อมูลประกอบข่าว ///
E.Q. ย่อมาจาก Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คนที่มีอีคิวดี คือ คนที่รู้จักและเข้าใจอารมณ์ตัวเองได้ รู้จักแยกแยะควบคุมอารมณ์ได้ และสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะและปรั บตัวให้เข้ากับสังคมอย่างเหมาะสม ช่วงไม่กี่ปีมานี้ กระแสอีคิวกำลังมาแรง อาจเป็นด้วยว่าภาพสะท้อนของผู้คนในสังคมเริ่มเปลี่ยน แปลง เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม ระบบของอีคิวจะเริ่มเสีย รัฐจึงควรหาปัจจัยเกื้อหนุนส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจให ้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าระยะ 10 ปีที่ผ่านมาสุขภาพจิตของคนเราเสื่อมลงมาก มีปริมาณคนไข้ทางจิตสูงขึ้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)