วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

โรคเรื้อน (Leprosy )

โรคเรื้อนเป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังของผิวหนังและเส้นประสาทส่วนปลายสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium leprae เชื้อโรคเรื้อนทำลายเส้นประสาทส่วนปลายทำาให้เกิดความพิการของมือ เท้า และใบหน้าห า ก ไ ม่รีบ รัก ษ า ตั้ง แ ต่ร ะ ย ะ แ ร ก เ ริ่ม อ า จ ทำาใ ห้เ กิดความพิการถาวร นำามาซึ่งปัญหาทางจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ โรคเรื้อนเป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียจึงสามารถฆ่าM.leprae ได้ง่ายด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ปัญหาผู้ป่วยได้รับความรังเกียจเดียดฉันท์จากสังคมเป็นที่รู้จักกันดีตั้งแต่สมัย โบราณ และแก้ไขได้ยาก ประวัติศาสตร์ของโรคเรื้อน โรคเรื้อนเป็นโรคเก่าแก่ หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่มีบันทึกเกี่ยวกับโรคเรื้อนเป็นคัมภีร์ในประเทศอินเดียสมัยศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล เชื่อว่าโรคเรื้อนมีกำาเนิดในเอเชียกลางหรือแอฟริกาตะวันออก หลังจากนั้นโรคมีการระบาดไปยังยุโรปพร้อมกับการถอยทัพกลับของกองทัพพระเจ้าอเล็กซานเดอร์แห่งมาซีโดเนียเมื่อ 326 ปีก่อน ค.ศ.ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 Aretaeus แพทย์ชาวกรีกได้เขียนบรรยายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับโรคเรื้อน แสดงว่าในสมัยนั้นโรคเรื้อนได้มีการระบาดแล้วในยุโรป โรคเรื้อนมีการระบาดอย่างหนักในยุโรประหว่างยุคกลาง (ค.ศ.1000 - 1500)หลังจากนั้นได้ระบาดไปยังทวีปอเมริกาและแอฟริกา เพราะการย้ายถิ่นฐานไปยังโลกใหม่และการค้าทาส สมมติฐานนี้ยืนยันได้ด้วยการวิจัย comparative genomics และsingle nucleotide polymorphisms (SNPs)(1) ค.ศ.1873 Hansen ค้นพบ M.leprae และได้เสนอว่าแบคทีเรียนี้น่าจะเป็นสาเหตุของโรคเรื้อน สถานการณ์โรคเรื้อน โรคเรื้อนเคยระบาดแพร่หลายในทวีปยุโรปและเอเชีย ปัจจุบันยังมีโรคเรื้อนชุกชุมในประเทศที่มีเศรษฐกิจไม่ดีในเขตร้อน ในช่วง ค.ศ. 1990 องค์การอนามัยโลกได้ออกโครงการรณรงค์กำาจัดโรคเรื้อน “Elimination of leprosy as a public health problem by the year 2000” วัตถุประสงค์เพื่อ ลดอัตราชุกของผู้ป่วยโรคเรื้อน (prevalence rate) ทั่วโลกให้ต่ำากว่า 1 คนต่อประชากร 1 หมื่นคน ซึ่งหมายความว่าโรคเรื้อนจะไม่เป็น ปัญหาทางสาธารณสุขต่อไป กลยุทธ์ในการดำาเนินโครงการ คือ เร่งค้นหาผู้ป่วยรายใหม่และให้การรักษาด้วยยาสูตร ผสม (multidrug therapy) เพื่อขจัดแหล่งรังโรค และ ลดการระบาดของโรคเรื้อน ยาสูตรผสม ( MDT) ได้รับการ พัฒนาเนื่องจากปัญหาเชื้อดื้อยา dapsone และ rifampin จากการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าการรักษาโรคเรื้อนด้วย MDT มีประสิทธิภาพดีในการกำาจัดและป้องกันเชื้อดื้อยา พ.ศ. 2528 องค์การอนามัยโลกคาดว่ามีจำานวน ผู้ป่วยโรคเรื้อนทั่วโลก 12 ล้านคน คิดเป็นอัตราชุก 12 คน ต่อประชากร 1 หมื่นคน นับตั้งแต่เริ่มใช้ MDT เมื่อ พ.ศ. 2528 ทำาให้จนถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคเรื้อนได้รับ การรักษาหายแล้วมากกว่า 15 ล้านคน อัตราความชุก ผู้ป่วยทั่วโลกลดลงมากกว่า 90% องค์การอนามัยโลก ประสบความสำาเร็จควบคุมโรคเรื้อนไม่ให้เป็นปัญหาทาง สาธารณสุขเมื่อ พ.ศ. 2548 ใน พ.ศ. 2552 มีผู้ป่วยกำาลัง รักษาทั่วโลก 211,903 คน 45% ของผู้ป่วยอยู่ในอินเดีย 20% อยู่ในบราซิล ในปีเดียวกันมีผู้ป่วยใหม่ได้รับ การวินิจฉัย 244,796 คน จำานวนประเทศที่มีโรคเรื้อนชุกชุม เป็นปัญหาทางสาธารณสุข (อัตราชุกของผู้ป่วยมากกว่า 1 คน ต่อประชากร 1 หมื่นคน) ลดลงจาก 122 ประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2528 เหลือ 2 ประเทศ คือ บราซิลและติมอร์ตะวันออก เมื่อ พ.ศ. 2553(3) สรุปสถานการณ์โรคเรื้อนทั่วโลก คือ จำานวนผู้ป่วยลดลงมาก กิจกรรมรณรงค์กำาจัดโรคเรื้อน ควรมีอย่างยั่งยืน เพื่อจะทำาให้จำานวนผู้ป่วยลดลงอย่าง ต่อเนื่อง ได้แก่ การผสานกิจกรรมการค้นหาและดูแลผู้ป่วย โรคเรื้อนเข้าไปในระบบบริการสาธารณสุขทั่วไป การพัฒนา สมรรถนะของบุคลากรสาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อน การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความรู้และความ ตระหนักเกี่ยวกับโรคเรื้อน เพื่อจะได้มารับการตรวจรักษา ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก รวมทั้งการพัฒนาและรับรองคุณภาพการ ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อน สถานการณ์ในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2498 คาดว่า มีผู้ป่วยโรคเรื้อนทั่วประเทศประมาณ 1 แสนคน นับตั้งแต่ มีการใช้ MDT ในประเทศไทย จำานวนผู้ป่วยลดลงอย่าง รวดเร็ว ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคเรื้อนไม่ให้เป็น ปัญหาทางสาธารณสุขตามนิยามขององค์การอนามัยโลก เมื่อ พ.ศ. 2537 พ.ศ. 2552 มีผู้ป่วยขึ้นทะเบียนรักษา ทั่วประเทศ 671 คน คิดเป็นอัตราความชุก 0.11 คน ต่อ ประชากรหมื่นคน มีผู้ป่วยใหม่ถูกค้นพบ 358 คน(4) จนถึง ปัจจุบันมีผู้ป่วยได้รับการรักษาแล้วในประเทศไทยประมาณ 1.7 แสนคน

ค้นหาบล็อกนี้