ที่ดินเป็นทรัพย์สินที่มีค่าและประโยชน์แก่มนุษย์มาก เช่น ใช้เป็น ที่อยู่อาศัย ใช้เพื่อเป็นหลักประกัน นอกจากนี้ที่ดินยังเป็นเครื่องแสดงออกถึง ฐานะ
ความเป็นอยู่ของแต่ละคนด้วย ผู้คนจึงพยายามใฝ่หาให้ได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินเป็นของตนเอง แม้จะต้องทำงานด้วยความยากลำบากสักเพียงใด ก็ตามที่ดิน นั้นนอกจากจะหมายถึง
ที่ดินบนบกอันได้แก่ พื้นที่ดินทั่วไป แล้ว ยังหมายถึงพื้นดินที่เป็นภูเขา และ ห้วย หนอง คลอง บึง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะ และที่ชายทะเลด้วย เนื่องจากที่ดินมีค่าและมีประโยชน์มาก นี่เอง
รัฐจึงออกกฎหมายวางระเบียบแบบแผนเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินของ บุคคลคือ ประมวลกฎหมายที่ดิน ปี พ.ศ. ๒๔๙๗
หนังสือสำคัญเกี่ยวกับที่ดิน
๑. ส.ค. ๑
ส.ค. ๑ เป็นหลักฐานการแจ้ง
การครอบครอง ซึ่งผู้ครอบครองที่ดินที่ ครอบครองทำประโยชน์มาก่อนวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๙๗ และยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินมาแจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค. ๑ ต่อนายอำเภอ
ท้องที่ ที่ที่ดินแปลงนั้นตั้งอยู่ ฉะนั้น ส.ค. ๑ จึงไม่ใช่หนังสือแสดงสิทธิในที่ดินเพราะไม่ใช่หลักฐานที่ทางราชการออกให้ เพียงแต่เป็นคำแจ้งความของราษฎรเท่านั้น แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีการ
แจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค. ๑ อีกแล้ว
ที่ดินใดที่มี ส.ค. ๑ นี้จะนำไปโอนกันไม่ว่าขายให้ผู้อื่น หรือยกให้ ผู้อื่นไปไม่ได้จนกว่าจะได้ขอออกเป็น น.ส. ๓ เสียก่อน จึงจะทำ
การโอนที่ อำเภอได้ แต่ถ้าจะโอนกันจริง ๆ แล้ว ก็อาจทำได้โดยการส่งมอบที่ดิน ที่มี ส.ค. ๑ ให้แก่ผู้รับโอนไป กล่าวคือ ให้ผู้รับโอนได้เข้าครอบครองที่ดินผืน นั้นนั่นเอง
ผู้ที่มี ส.ค. ๑ นั้น มีสิทธิที่จะนำ ส.ค. ๑ มาขอออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ ๒ กรณี คือ
(๑) เมื่อทางราชการจะออกโฉนดที่ดิน หรือ หนังสือรับรองการทำ ประโยชน์ตามแบบฟอร์ม น.ส. ๓ ก โดยการสำรวจทั้งตำบล (ป.ที่ดิน มาตรา ๕๘)
ในกรณีนี้เราจะต้องคอยฟังประกาศของทางราชการว่ารัฐบาลจะออกโฉนดที่ดินหรือ น.ส. ๓ ก ในท้องที่ของเราหรือไม่ ถ้าจะออกในทéองที่ของ เราแล้วจะมีเจ้าหน้าที่มาบอกเรา ให้เราชี้แนวเขตที่ดินของเรา เมื่อถึงวันนัด ที่จะไปชี้แนวเขตที่ดินนั้นของเรา เราก็จะต้องไปตามกำหนดด้วย เพื่อเจ้า หน้าที่จะออกโฉนดที่ดิน หรือ น.ส. ๓ ก แก่เรา
(๒) แม้ไม่มีประกาศตามข้อ ๑ ก็มีสิทธินำ ส.ค. ๑ มาออกโฉนด ที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (แบบฟอร์ม น.ส. ๓) ได้เป็นราย ๆ ไป (ป.ที่ดิน มาตรา ๕๙) กล่าวคือ ผู้ใดประสงค์จะได้โฉนดที่ดินต้องไปยื่น ขอที่สำนักงานที่ดินท้องที่ ที่ที่ดินแปลงนั้นตั้งอยู่ (แต่จะออกโฉนดได้เฉพาะ บริเวณที่ดินที่มีระวางแผนที่แล้วเท่านั้น) หรือถ้าต้องการ น.ส. ๓ ก็ให้ไปยื่น คำขอต่อนายอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือไปยื่นขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินใน ท้องที่ที่ยกเลิกอำนาจนายอำเภอแล้ว
ข้อสังเกตเกี่ยวกับ ส.ค. ๑
๑. การแจ้ง ส.ค. ๑ ไมèก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้แจ้ง เว้นแต่ผู้แจ้งได้สิทธิ ครอบครองอยู่แล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ส.ค. ๑ เป็นหลักฐาน อย่างหนึ่งซึ่งแสดงว่าในขณะแจ้ง ส.ค. ๑ นั้น ผู้แจ้งอ้างวèาเป็นที่ดินของผู้แจ้ง ส่วนความจริงผู้ใดจะมีสิทธิในที่ดินแปลงนั้นหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผู้ไม่มีสิทธิในที่ดินแม้ได้แจ้งการครอบครองได้รับ ส.ค. ๑ ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิในที่ดิน
แปลงนั้นแต่ประการใด
๒. ที่ดินมี ส.ค. ๑ แม้จดทะเบียนโอนไม่ได้ แต่ก็โอนโดยการ ส่งมอบการครอบครองได้ การขายที่ดินมี ส.ค. ๑ กันเองโดยไม่ได้จดทะเบียน และส่งมอบ
ที่ดินให้ผู้รับโอนไปแล้วที่ดินจึงตกเป็นของผู้รับโอนไป เจ้าของเดิม ไม่มีสิทธิในที่ดินนั้นอีกต่อไป
๒. ใบจอง (น.ส. ๒)
ใบจองเป็นหนังสือที่ทางราชการออกให้เพื่อเป็นการแสดงความยินยอม ให้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเป็นการชั่วคราว ซึ่งใบจองนี้จะออกให้แก่ราษฎรที่ทางราชการได้จัดที่ดินให้ทำกินตามประมวล กฎหมายที่ดินผู้มีใบจองจะต้องจัดการทำประโยชน์ใน ที่ดินที่ทางราชการจัดให้ ให้แล้ว เสร็จภายใน ๓ ปี (การทำประโยชน์ให้แล้วเสร็จหมายถึง ร้อยละ ๗๕ ของที่ดิน ที่จัดให้) และที่ดินที่มีใบจองนี้จะโอนให้แก่คนอื่นไม่ได้ ต้องทำประโยชน์ด้วย ตนเอง ซึ่งเมื่อทำประโยชน์เสร็จถึงร้อยละ ๗๕ แล้วก็มีสิทธิมาขอออกโฉนด ที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้เหมือนกับผู้มี ส.ค. ๑ คือ ๒ กรณีดังนี้
(๑) เมื่อทางราชการเดินสำรวจทั้งตำบล เพื่อออกโฉนดที่ดินหรือ น.ส. ๓ ก ให้
(๒) มาขอออกเองเฉพาะเป็นรายๆ ไป โดยยื่นคำขอออกโฉนด ที่ดินเฉพาะราย หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะราย (น.ส. ๓) แล้วแต่กรณี
๓. หนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก)
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ คือ หนังสือคำรับรองจากเจ้าหน้าที่ ว่าผู
้ครอบครองที่ดินได้ทำประโยชน์แล้ว
ที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (ซึ่งอาจจะเป็นแบบฟอร์ม น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก แล้วแต่กรณี) เจ้าของที่ดินอาจจะมีสิทธิครอบครอง ใน
ที่ดินแปลงนั้นได้ ถ้าเข้าไปยึดถือที่ดินแปลงนั้นและมีเจตนาจะยึดถือเพื่อ ตัวเขาเอง ที่ดินชนิดนี้เวลาจะโอนให้คนอื่น ไม่ว่าจะขายหรือยกให้หรือจำนอง ก็สามารถทำได้ แต่ต้องไปจดทะเบียน
ณ ที่ว่าการอำเภอ (แต่ตามกฎหมาย ที่ดินที่แก้ไขใหม่ปี ๒๕๒๘ ให้จดทะเบียนกับเจ้าพนักงานที่ดิน แต่กฎหมาย
ใหม่ก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที เพราะมีบทเฉพาะกาลกำหนดให้ยังเป
็น อำนาจของนายอำเภออยู่จนกว่ารัฐมนตรีมหาดไทยจะประกาศยกเลิกเป็น เขต ๆไป)
ที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์นี้เจ้าของที่ดินก็มี สิทธินำหนังสือชนิดนี้มาขอออกโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ได้ ๒ กรณี คือ
(๑) เมื่อทางราชการจะออกโฉนดที่ดินให้ โดยการเดินออกสำรวจทั้งตำบล หรือ
(๒) มาขอออกเองเป็นเฉพาะราย เหมือนผู้มี ส.ค. ๑ หรือผู้มีใบจอง
๔. โฉนดที่ดิน (น.ส. ๔ ก, น.ส. ๔ ข, น.ส. ๔ ค,น.ส. ๔,น.ส. ๔ ง,น.ส. ๔ จ)
โฉนดที่ดินเป็นหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งออกให้ตาม
ประมวลกฎหมายที่ดินปัจจุบัน นอกจากนี้ยังรวมถึงโฉนดแผนที่ โฉนดตรา จองและตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ซึ่งออกให้ตามกฎหมายเก่าก็ถือ ว่ามีกรรมสิทธิ์เช่นกัน
ผู้เป็นเจ้าของโฉนดที่ดิน ถือว่ามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นเต็มที่ มีสิทธิ ใช้สอยที่ดินนั้นตลอดจนจัดจำหน่ายที่ดินนั้นเสียก็ได้ มีสิทธิขัดขวางไม่ให้ผู้ใด มาเกี่ยวข้องกับที่ดินนั้น โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
การทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน โดยที่ที่ดินเป็นทรัพย์สิน ที่มีค่า ฉะนั้นการที่จะซื้อขาย ยกให้ แลกเปลี่ยน หรือนำไปจำนองจะต้องไป จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สำนักงาน
ที่ดิน ถ้าไม่ไปจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ ถือว่าการซื้อขาย ให้ หรือจำนองที่ดินมีโฉนดดังกล่าว ตกเป็นโมฆะเสียเปล่าใช้ไม่ได้
ที่ดินที่ไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดิน
ที่ดินประเภทนี้แยกได้ ๒ กรณี คือ
๑. เป็นที่ดินตกค้างการแจ้งการครอบครอง
กล่าวคือ เป็นที่ดินที่มีการครอบครองและทำประโยชน์มาก่อน ประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน (พ.ศ.
๒๔๙๗) โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (คือไม่มีโฉนดแผนที่ โฉนดตราจอง และตราจองที่ ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว) แต่มิได้มาแจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค. ๑ จึงถือว
่าเป็นที่ดินตกค้างการแจ้งการครอบครอง
ผู้ตกค้างการแจ้งการครอบครองในกรณีนี้ มีสิทธิมาขอออกโฉนด ที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ ๒ กรณีคือ
(๑) เมื่อทางราชการมาเดินสำรวจทั้งตำบล เพื่อออกโฉนดที่ดินหรือ น.ส. ๓ ก ให้ ถ้าที่ดินเราอยู่ในเขตสำรวจ ก็ต้องไปแจ้งการครอบครองต่อ นายอำเภอภายใน ๓๐ วัน นับแต่ผู้ว่าราชการประกาศจะเดินสำรวจหรือไม่ก็จะต้องไปนำพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการชี้แนวเขตเพื่อรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือ พิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์เพื่อออก น.ส. ๓ ก ให้
(๒) แม้ไม่มีประกาศตามข้อ ๑ ก็มาขอออกโฉนดที่ดินหรือ น.ส. ๓ ได้เป็นราย ๆ แต่การมาขอออกก็ต้องมีเหตุผลจำเป็น เช่น ที่ดินนั้นถูกเวนคืน หรือจะโอนที่ดินให้ทางราชการ หรือมีความจำเป็นอย่างอื่น เช่น
ยากจนต้องการขายที่ดินนั้น แต่ต้องขออนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย
พวกที่ตกค้างการแจ้งการครอบครองนี้ทางราชการจะออกโฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ไม่เกิน ๕๐ ไร่ ถ้าต้องการจะได้เกิน ๕๐ ไร่ ต้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเป็นการเฉพาะราย
๒. เป็นที่ดินที่เข้าครอบครองโดยผิดกฎหมาย
หมายถึง พวกที่เข้าครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาตหลัง จากประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว คือหลังวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ พวกนี้โดยหลักแล้วถือว่ามีโทษ แต่โดยที่ทางราชการต้องการช่วย เหลือบุคคลเหล่านี้ เพราะส่วนใหญ่เป็นคนยากจน ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง จึงกำหนดกรณีที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือ น.ส. ๓ ก ให้แก่บุคคลเหล่านี้ เมื่อมีประกาศของรัฐมนตรีมหาดไทยกำหนดเขตสำรวจ
โดยจะมีเจ้าหน้าที่มา นัดหมาย เพื่อให้นำไปชี้แนวเขตที่ดินเช่นกัน
แม้ว่าจะออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่บุคคล พวกนี้ แต่ก็จะออกให้ไม่เกิน ๕๐ ไร่ ถ้าต้องการให้ออกเกิน ๕๐ ไร่ ต้องขอ อนุมัติผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นรายๆ ไปที่ดินที่ได้มาตามนี้ห้ามโอนมีกำหนด ๑๐ ปี เว้นแต่จะตกทอดทาง มรดกหรือโอนแก่ทบวงการเมือง หรือโอน
แก่สหกรณ์เพื่อชำระหนี้ หรือโอน ให้รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ
การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน
การได้มาซึ่งที่ดินหรือการทำนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริม ทรัพย์ คือ ที่ดินหรืออาคารบ้านเรือนจะต้องทำการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะ สมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย
๑. ถ้าเป็นที่ดินที่มีโฉนดที่ดินอย่างเดียวหรือรวมกับสิ่งปลูกสรéางด้วย
จะต้องไปติดต่อขอจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินในท้องที่ที่ดินแปลงนั้นตั้ง อยู่ ซึ่งอาจเป็นที่สำนักงานที่ดินจังหวัด หรือสำนักงานที่ดิน สาขาแล้วแต่กรณี
๒. ถ้าเป็นที่ดินที่มี น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก อย่างเดียวหรือรวม กับสิ่งปลูกสร้างด้วย
จะต้องไปติดต่อขอจดทะเบียนต่อนายอำเภอณที่ว่าการอำเภอท้องที่ที่ที่ดินแปลง นั้นตั้งอยู่ หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอแล้วแต่กรณี หรืออาจไปจดทะเบียนกับเจ้าพนักงานที่ดินในท้องที่ที่ยกเลิกอำนาจของนายอำเภอ แล้วก็ได้๓. ถ้าจดทะเบียนเกี่ยวกับบ้านช่องเรือนโรงอย่างเดียวไม่รวมที่ดิน ด้วย
การจดทะเบียนเช่าอาคารบ้านเรือน หรือซื้อขาย หรือจำนอง อาคารบ้านเรือนอย่างเดียว คือไม่รวมที่ดินด้วย แม้อาคารบ้านเรือนเหล่านั้น จะตั้งอยู่ในที่ดินที่มีโฉนดก็ตาม ต้องไปจดทะเบียนต่อนายอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่หรือจดทะเบียนกับเจ้าพนักงานที่ดินใน ท้องที่ที่ยกเลิกอำนาจนายอำเภอแล้ว
การไปจดทะเบียนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจดที่สำนักงานที่ดินจังหวัดหรือ ที่ว่าการอำเภอ ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องนำโฉนดที่ดิน หรือ น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ด้วย และเจ้าหน้าที่
จะสอบสวนหลักฐานเกี่ยว กับสิทธิและความสามารถของคู่กรณี ตลอดจนความสมบูรณ์ของนิติกรรม หลักฐานย่อมแตกต่างกันไปแล้วแต่กรณี ฉะนั้น เพื่อความสะดวกในการขอ จดทะเบียนสิทธิ
และนิติกรรม ควรนำหลักฐานเหล่านี้ไปแสดงด้วยคือ
(๑) บัตรประจำตัวประชาชน
(๒) สำเนาทะเบียนบ้าน
(๓) หลักฐานในการเปลี่ยนชื่อตัว - สกุล (ถ้ามี)
(๔) ถ้าแต่งงานแล้วต้องมีหนังสือคู่สมรสแสดงความยินยอมให้ทำนิติกรรม
(๕)ถ้าผู้ขอจดทะเบียนมีบิดาหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวต้องนำหนังสือสำคัญประจำ ตัวคนต่างด้าวของบิดาหรือมารดาไปด้วย ถ้าถึงแก่กรรมแล้วให้นำสำเนาทะเบียนบุคคลต่างด้าวที่ขอคัดจากสถานีตำรวจหรือ หนังสือ รับรองการตาย หรือการเข้าเมืองโดยชอบจากเจ้าหน้าที่กองทะเบียนคน ต่างด้าวและภาษีอากร ถ้าไม่สามารถนำมาได้ ก็ให้นำใบมรณบัตรของผู้ตาย มาแสดง
(๖) ให้นำสูติบัตรและทะเบียนทหาร (ส.ด. ๙) มาด้วย
(๗)ถ้ามีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติต้องมีใบสำคัญแสดงการแปลงสัญชาติเป็น ไทยหรือใบแทนการจดทะเบียนนั้นปกติแล้วการจดทะเบียนที่สำนักงาน ที่ดินในกรณีที่ไม่ต้องมีการประกาศก่อนจดทะเบียน เช่นซื้อขายหรือให้ที่ดินที่มีโฉนดเจ้าหน้าที่จะจัดการให้เสร็จในวันที่มาขอ จดทะเบียนเลย เว้นแต่กรณีที่ต้องมีการประกาศ ก่อนจดทะเบียน เช่น การขอจดทะเบียน
การได้มาโดยทางมรดก ซึ่งไม่สามารถจดทะเบียนในวันนั้นได้
ถ้าเป็นการจดทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอปกติแล้วจะต้องมีการประกาศ มีกำหนด ๓๐ วัน เสียก่อนจึงจะทำการจดทะเบียน
ได้ เช่น ซื้อขายที่ดินที่มี น.ส. ๓ เว้นแต่ จะเข้าข้อยกเว้นบางอย่างซึ่งมีกำหนดไว้ว่าไม่ต้องประกาศ เช่น การจดทะเบียนจำนอง การไถ่ถอนจากการขายฝาก หรือการจดทะเบียน การ
โอนตามคำสั่งศาล
สำหรับที่ดินที่มี น.ส. ๓ ก นั้นมีสิทธิพิเศษคือ ไม่ต้องทำการ ประกาศ ๓๐ วันสามารถจดทะเบียนไปได้เลย ยกเว้นการจดทะเบียนมรดกที่มี
น.ส. ๓ ก ต้องทำการประกาศก่อน
การเสียสิทธิในที่ดิน
การเสียสิทธิในที่ดิน มีได้หลายประการ เช่น การเสียสิทธิตามประ- มวลกฎหมายที่ดิน การเสียสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
๑. การเสียสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ถ้าเป็นที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน อาจถูกบุคคลอื่นครอบครองที่ดินของเรา โดยปรปักษ์ก็ได้ คือ ถ้ามีบุคคลอื่นมาครอบครองที่ดินของเราโดยสงบ เป”ดเผย ด้วย
เจตนาเป็นเจ้าของ ต่อเนื่องเป็นเวลา ๑๐ ปี บุคคลอื่นนั้นก็จะได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินของเราไป (ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒)ถ้าเป็นที่ดินที่มี น.ส. ๓, น.ส. ๓ ก, ส.ค. ๑ หรือที่ดินที่ไม่มีหนังสือ
สำคัญอย่างใดเลย ถ้ามีผู้มาแย่งการครอบครองเราจะต้องฟ้องเอา ที่ดินคืนภายใน ๑ ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ถ้าไม่ฟ้องภายในกำหนด ก็จะสิ้นสิทธิในที่ดินไป (ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๗๕)
๒. การเสียสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ผู้มีสิทธิในที่ดินอาจเสียสิทธิในที่ดินได้โดยที่ดินนั้นจะ ตกเป็นของรัฐในกรณีที่มีการทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ หรือปล่อยให้ที่ดินรกร
้างว่างเปล่าเกิน เวลาดังนี้
(๑) สำหรับที่ดินที่มีโฉนดที่ดิน เกิน ๑๐ ปี ติดต่อกัน
(๒) สำหรับที่ดินที่มี น.ส. ๓, น.ส. ๓ ก เกิน ๕ ปีติดต่อกัน
โดยถือว่าผู้นั้นเจตนาสละสิทธิ
ในที่ดิน เฉพาะส่วนที่ได้ทอดทิ้งไม่ทำ ประโยชน์หรือปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าเท่านั้น (ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖)
การทุจริตเกี่ยวกับที่ดิน
การทุจริตเกี่ยวกับที่ดินส่วนใหญ่เป็นเรื่องการปลอม แปลงโฉนดที่ดิน หรือ น.ส. ๓ การปลอมใบมอบอำนาจตลอดจนการขโมยโฉนดที่ดิน หรือ น.ส. ๓
วิธีป้องกันมิให้มีการทุจริตเกี่ยวกับที่ดิน
(๑) ควรเก็บรักษาโฉนดที่ดินหรือ น.ส. ๓ ไว้ในที่ปลอดภัย ถ้ามี แขกแปลกหน้ามาขอดูโดยอ้างว่าจะมีคนมาขอซื้อ ให้ระมัดระวัง เพราะผู้ทุจริตอาจนำฉบับของปลอมมาเปลี่ยนได้
(๒) อย่าให้ผู้อื่นยืมโฉนดที่ดิน หรือ น.ส. ๓ ไปไม่ว่ากรณีใดๆ
(๓)ในกรณีโฉนดที่ดินหรือน.ส.๓สูญหายหรือถูกโขมยให้รีบ ไปแจ้งความต่อตำรวจโดยเร็ว แล้วนำใบแจ้งความเป็นหลักฐานไปขอให้เจ้า พนักงานออกใบแทนให้ใหม่
(๔) การทำธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวกับที่ดิน เช่น ขาย หรือจำนอง เป็นต้นถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว ควรไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่ด้วยตนเอง จะเป
็น การปลอดภัยและสะดวกกว่า แม้จะเสียเวลาบ้างก็ยังดีกว่าเสียทรัพย์
(๕) ถ้าไม่สามารถไปทำธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินด้วยตนเองแล้ว การที่จะมอบอำนาจให้บุคคลใดไป
ทำแทน เราจะต้องพิจารณาเฉพาะบุคคลที่เรา เชื่อถือไว้ใจได้จริง ๆ เท่านั้น อย่ามอบอำนาจให้กับผู้ที่ไม่รู้จักมักคุ้นมาก่อน
(๖) ถ้ามอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปทำแทนแล้ว อย่าเซ็นชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้กรอกข้อความเป็นอันขาด ก่อนเซ็นชื่อให้กรอกข้อความในใบมอบอำนาจให้ครบถ้วนและจะมอบอำนาจให้ไปทำ นิติกรรม อะไรแทนก็ให้เขียนให้ชัดเจน เช่น จะให้ไปจำนองแทนก็เขียนว่าจำนอง ถ้าให้ไปขายแทนก็เขียนว่าขาย
(๗) ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับที่ดิน ควรติดต่อสอบ
ถามจากเจ้าหน้าที่ที่ สำนักงานที่ดินจังหวัดหรือที่ว่าการอำเภอโดยตรง อย่าชักช้าซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ คอยตอบปัญหาที่ท่านข้องใจได้
(๘) ถ้ามีเวลาว่าง ควรนำโฉนดที่ดิน
หรือ น.ส. ๓ ไปตรวจสอบ ที่สำนักงานที่ดินว่า ที่ดินของท่านยังอยู่ปกติ และมีหลักฐานถูกต้องตรงกัน กับฉบับสำนักงานที่ดินหรือไม่ เพียงใด
(๙) ก่อนจะรับซื้อหรือรับซื้อฝาก หรือจำนองที่ดิน ควรไปตรวจ สอบดูที่ดินให้แน่นอนถูกต้องตรงกับหลักฐานตามโฉนดที่ดินหรือที่ดินที่มี น.ส. ๓ ถ้าสงสัยให้ไปตรวจสอบหลักฐานที่สำนักงานที่ดินก่อน
(๑๐) อย่าทำสัญญาให้กู้ยืมเงินกันเอง โดยรับมอบโฉนดที่ดิน หรือ น.ส. ๓ ไว้ประกันเป็นอันขาดเพราะอาจเป็นฉบับของปลอมทางที่ดีควรไปจด ทะเบียนรับจำนอง หรือรับซื้อฝากต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะปลอดภัย
การมอบอำนาจ
การมอบอำนาจคือ การที่บุคคลหนึ่งเรียกว่า ตัวการ มอบให้บุคคล อีกคนหนึ่งเรียกว่า ตัวแทน มีอำนาจทำการแทน และการกระทำนั้นมีผลใน ทางกฎหมายเสมือนว่าตัวการทำด้วยตนเอง
กิจการใดที่กฎหมายกำหนดว่าต้องทำเป็นหนังสือ เช่น การซื้อขาย ที่ดิน การมอบอำนาจให้ทำกิจการนั้นต้องทำเป็นหนังสือด้วย การมอบ อำนาจจะใช
้แบบพิมพ์ของกรมที่ดิน หรือไม่ก็ได้ทั้งนี้ต้องมีสาระสำคัญครบ ถ้วน แต่เพื่อความสะดวกควรใช้แบบพิมพ์ของกรมที่ดิน และผู้มอบอำนาจ ควรได้ปฏิบัติตามคำเตือนหลังใบมอบอำนาจโดยเคÃ่งครัด (หนังสือมอบ อำนาจของกรมที่ดินมี ๒ แบบ สำหรับที่ดินมีโฉนดแล้วแบบหนึ่ง กับที่ดิน ที่ยังไม่มีโฉนดอีกแบบหนึ่ง)
ข้อควรปฏิบัติในการทำหนังสือมอบอำนาจ
(๑) ให้กรอกเครื่องหมายหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน (กรอกให้ตรง กับแปลงที่ประสงค์จะมอบอำนาจให้ดำเนินกิจการทั้งระวาง เลขที่ หน้าสำรวจ ที่ตั้ง เป็นต้น) หรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เช่น ตึก บ้าน
เรือน โรง ให้ชัดเจน
(๒) ให้ระบุเรื่องและอำนาจจัดการให้ชัดเจนว่ามอบอำนาจให้ทำอะไร ถ้ามีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมก็ให้ระบุไว้ด้วย
(๓) อย่ากรอกข้อความให้ต่างลายมือหรือใช้น้ำหมึกต่างสีกัน ถ้าใช้เครื่องพิมพ์ดีดก็ต้องเป็นเครื่องเดียวกัน
(๔) ถ้ามีการขูดลบ ตกเติม แก้ไขหรือขีดฆ่า ให้ระบุว่าขีดฆ่า ตก เติมกี่คำและผู้มอบอำนาจต้องลงลายมือชื่อกำกับไว้ทุกแห่ง
(๕) อย่าลงลายมือชื่อผู้มอบอำนาจก่อนกรอกข้อความโดยครบถ้วน และถูกต้องตามความประสงค์แล้ว หรืออย่าลงชื่อในกระดาษ
เปล่าซึ่งยังมิได้ กรอกข้อความเป็นอันขาด
(๖) ให้มีพยานอย่างน้อย ๑ คนรับรองลายมือชื่อ หากเป็นพิมพ์ลายนิ้วมือต้องมีพยานรับรอง ๒ คน (พยานต้องเซ็นชื่อจะ
พิมพ์ลายนิ้วมือไม่ได้)ถ้าภรรยาเป็นผู้มอบอำนาจต้องให้สามีลงชื่อเป็นพยาน และให้บันทึก ความยินยอมเป็นหนังสือด้วย
(๗) หนังสือมอบอำนาจที่ทำในต่างประเทศ ควรให้สถาน
ทูต หรือ สถานกงสุล หรือโนตารีปับลิค รับรองด้วย
(๘) กรณีผู้มอบอำนาจอายุ ๖๐ ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันการโต้แย้ง ควรให้ผู้ปกครองท้องที่หรือผู้ที่เชื่อถือได้รับรองก่อน
การติดต่องานเกี่ยวกับที่ดิน
๑. การออกหนังสือสำคัญเกี่ยวกับที่ดิน
ก. การขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์
น.ส. ๓, น.ส. ๓ ก
ที่ดินที่จะขอออก น.ส. ๓ ได้จะต้องเป็นที่ดินที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่จริง และต้องไม่เป็นที่ดินที่เป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดิน เช่น ที่ชายตลิ่ง ที่เลี้ยงสัตว์สาธารณะ หนองน้ำสาธารณะ ที่ภูเขา ฯลฯ
หลักฐานที่จะต้องนำไปแสดง
(๑)บัตรประจำตัวประชาชน/ทะเบียนบ้าน/ทะเบียนสมรส/หลักฐานการ เปลี่ยนชื่อตัว - ชื่อสกุล(ถ้ามี)
(๒) หลักฐานสำหรับที่ดินนั้น เช่น ส.ค. ๑ ใบจอง ใบเหยียบย่ำ หรือ น.ค. ๓ เป็นต้น สำหรับผู้ถือใบ สทก.๑ ไม่มีสิทธิขอ น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก แต่อย่างใด
วิธีการออก
(๑) ผู้ขอต้องยื่นคำขอต่อนายอำเภอหรือปลัด
อำเภอผู้เป็นหัวหน้า ประจำกิ่งอำเภอท้องที่ที่ดินตั้งอยู่ หรือเจ้าพนักงานที่ดิน
(๒)เจ้าพนักงานจะออกไปทำการพิสูจน์ว่าได้มีการทำประโยชน์ในที่ดินหรือไม่ ในการเดินสำรวจนี้เจ้าของที่ดินข้างเคียงจะต้องไประวังชี้แนวเขตด้วย
ถ้าไม่มีผู้ใดคัดค้าน เจ้าพนักงานก็จะออก น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก ให้ แต่ถ้ามีผู้คัดค้านพนักงานเจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนเปรียบ
เทียบ ถ้า ตกลงกันได้ก็จะดำเนินไปตามนั้น หากตกลงไม่ได้ ให้มีคำสั่งว่าจะออก น.ส. ๓ ให้แก่ฝ่ายใด และฝ่ายที่ไม่พอใจต้องไปดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล ภายใน ๖๐ วัน ถ้าไม่ได้ฟ้องภายใน ๖๐ วัน ก็ให้ดำเนินการไปตามคำสั่งนั้น (ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๖๐)
ข. การขอออกโฉนดที่ดิน
ที่ดินที่จะขอออกโฉนดได้ต้องเป็นที่ดินที่ได้มี
ระวางแผนที่แล้ว ต้องมี การครอบครองและทำประโยชน์อยู่จริง ไม่เป็นที่ดินที่เป็นสาธารณประโยชน์ ของแผ่นดิน
หลักฐานที่จะต้องนำไปแสดง เช่น ส.ค. ๑, ใบจอง, ใบเหยียบย่ำ, น.ส. ๓,
น.ส. ๓ ก เป็นต้นบุคคลที่ยังไม่มี น.ส. ๓, น.ส. ๓ ก ก็สามารถมายื่นขอออกโฉนด ที่ดินได้เลย ถ้าที่ดินบริเวณนั้นได้มีระวางแผนที่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องไปยื่น ขอ น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก เสียก่อน
๒. การขอรับมรดกที่ดิน
การรับมรดกที่ดินนั้นผู้เป็นทายาทต้องนำหลักฐานต่อไปนี้แสดง ต่อเจ้าหน้าที่ คือ
(๑) โฉนดที่ดิน หรือ น.ส. ๓, น.ส. ๓ ก หรือใบจอง หรือ ส.ค. ๑
(๒) บัตรประจำตัวประชาชน
(๓)หลักฐานการเป็นทายาททะเบียนบ้านหรือทะเบียนสมรสใน กรณีเป็นคู่สมรสของผู้ตา
(๔) ใบมรณบัตรของเจ้ามรด¡(๕) พินัยกรรม (ถ้ามี)
ในการจดทะเบียนรับมรดกที่ดินนี้ เจ้าหน้าที่จะไม่จดทะเบียนให้ใน ทันทีที่ขอจด แต่จะมีประกาศก่อน ๖๐ วัน ถ้าไม่มีผู้ใดมาคัดค้านจึงจะจด
ทะเบียนให้ (ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๘๑)
กรณีมีการตั้งผู้จัดการมรดก
การขอรับมรดกที่ดินในกรณีที่มีผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จะต้องนำหลักฐานดังนี้
(๑) คำสั่งศาลหรือคำ
พิพากษาของศาลอันถึงที่สุด หรือพินัยกรรม ซึ่งต้องให้ผู้ขอเป็นผู้จัดของการมรดก
(๒) หลักฐานการตายของเจ้าของมรดก
(๓) บัตรประจำตัวของผู้จัดการมรดก
(๔) โฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์
๓. การขอออกใบแทน แทนโฉนดที่ดินหรือ น.ส. ๓
(๑) กรณีโฉนดที่ดินชำรุด
ถ้ามีหลักฐานตรวจสอบได้ คือมีตำแหน่ง
ที่ดิน เลขที่โฉนดที่ดิน ชื่อ และตราประจำตำแหน่งของผู้ว่าราชการจังหวัด และ/หรือ ชื่อและตราประจำ ตำแหน่งของเจ้าพนักงานที่ดิน กรณีเช่นนี้ เ จ้าหน้าที่จะออกใบแทนให้ไปเลย โดยไม่ตéองประกาศให้คนมาคัดค้านเสียก่อน
(๒) กรณี น.ส. ๓ ชำรุด
อย่างน้อยต้องมีชื่อและตราประจำตำแหน่งนายอำเภอท้องที่เหลือ อยู่เจ้าหน้าที่จะออกใบแทนให้ไปได้
(๓) ถ้าเป็นกรณีโฉนดที่ดิน หรือ น.ส. ๓ สูญหายหรือชำรุด โดย ไม่มีหลักฐานตรวจสอบได้ ต้องมีหลักฐานต่อไปนี้
- หลักฐานการแจ้งความต่อตำรวจ ว่าโฉนดที่ดินหรือ
น.ส. ๓ สูญหาย
- มีพยานที่เชื่อถือได้ ๒ คน ไปรับรองว่าหายจริงต่อหน้าเจ้าพนัก งานที่ดิน
แล้วนำหลักฐานดังกล่าวไปยื่นต่อเจ้าพนักงาน ที่ดินเพื่อขอใบแทนเจ้าพนักงานที่ดินจะทำการสอบสวนหากเชื่อว่า โฉนดที่ดินสูญหายจริง เจ้า- พนักงานจะดำเนินการประกาศ มีกำหนด ๓๐ วัน ถ้ามีผู้คัดค้านภายใน กำหนด และปรากฏว่า โฉนดที่ดินดังกล่าวไม่ได้สูญหายจริง เจ้าพนักงานจะ มีคำสั่งยกเลิกคำขอดังกล่าว แต่ถ้าหากไม่มีผู้คัดค้านภายในกำหนด เจ้าพนักงานก็จะออกใบแทนให้ไปตามคำขอ จะมีผล
ทำให้โฉนดที่ดินที่สูญหาย แล้วเป็นอันใช้ไม่ได้
๔. การขอรังวัดที่ดิน
การรังวัดที่ดินนี้ อาจจะเป็นการรังวัดเพื่อแบ่งแยกที่ดิน เช่น การแบ่ง ขาย การแบ่งเพื่อยกให้ผู้อื่น หรือ
การรังวัดเพื่อรวมโฉนดที่ดิน หรือสอบเขต ที่ดิน ผู้ขอจะต้องวางเงินมัดจำในการรังวัดเพื่อเป็นค่าจ้างคนงาน ค่าธรรมเนียม ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะของผู้ไปทำการรังวัด โดยเจ้าหน้าที่จะออก
ใบรับเงินให้ ยึดถือไว้เป็นหลักฐาน เมื่อเสร็จการรังวัดแล้วหากเงินเหลือก็จะคืนให้ถ้าไม่พอ ก็จะเรียกเพิ่ม
การขอรังวัดที่ดินนี้ โดยที่มีผู้ขอให้เจ้าหน้าที่ทำการรังวัดมาก ดังนั้น จึงต้องใช
้เวลามากหน่อย โดยเจ้าหน้าที่จะทำตามลำดับที่ได้ยื่นเรื่องมา บาง แห่งอาจเสียเวลาเป็นเดือน ๆ
๕. การใช้บริการสำนักงานช่างรังวัดเอกชน
เนื่องจากปัจจุบันงานเกี่ยวกับการรังวัด
ที่ดินมีโฉนดที่ดินเกี่ยวกับการ สอบเขตที่ดิน การแบ่งแยก และการรวมโฉนดที่ดินมีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ช่าง รังวัดของกรมที่ดินไม่สามารถปฏิบัติงานได้ทันกับความต้องการของประชาชน ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่ประชาชน รัฐจึงได้ออกพระราชบัญญัติช่างรังวัดเอกชน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยบัญญัติให้มีช่างรังวัดเอกชน และ สำนักงานช่างรังวัดเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตจาก
คณะกรรมการช่างรังวัด เอกชน ขึ้นรับทำการรังวัดที่ดิน ทั้ง ๓ ประเภทดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้อง รอคิวรังวัดของช่างรังวัดของกรมที่ดิน
การใช้บริการ
(๑) ผู้ที่จะใช้บริการสำนักงานช่างรังวัดเอกชน จะต้องพิจารณาหลัก เกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ก่อนดังนี้
๑.๑ จะต้องเป็นที่ดินที่มีโฉนดที่ดินเท่านั้น
๑.๒ จะต้องเป็นที่ดินในเขตจังหวัดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย กำหนดให้เป็นเขตที่ช่างรังวัดเอกชนสามารถดำเนินการได้ ขณะนี้กำหนดไว้ ๓๔จังหวัด ได้แก่
๑. กรุงเทพมหานคร ๒. กาญจนบุรี ๓. ขอนแก่น
๔. จันทบุรี ๕. ฉะเชิงเทรา ๖. ชลบุรี
๗. ชุมพร ๘. เชียงราย ๙. เชียงใหม่
๑๐. นครนายก ๑๑. นครปฐม ๑๒. นครราชสีมา
๑๓. นครศรีธรรมราช ๑๔. นครสวรรค์ ๑๕. นนทบุรี
๑๖. บุรีรัมย์ ๑๗. ปทุมธานี ๑๘. ประจวบคีรีขันธ์
๑๙. ปราจีนบุรี ๒๐. พระนครศรีอยุธยา ๒๑. พิษณุโลก
๒๒. เพชรบุรี ๒๓. เพชรบูรณ์ ๒๔. ภูเก็ต
๒๕. ระยอง ๒๖. ราชบุรี ๒๗. ลพบุรี
๒๘. ลำพูน ๒๙. สงขลา ๓๐. สมุทรปราการ
๓๑. สมุทรสาคร ๓๒. สุพรรณบุรี ๓๓. สุราษฎร์ธานี
๓๔. อุบลราชธานี
ต่อไปจะขยายครอบคลุมทั่วประเทศ
๑.๓ ประเภทที่จะขอรังวัดได้เฉพาะประเภทการสอบเขต แบ่ง แยกหรือรวมโฉนดเท่านั้น
(๒) หากที่ดินของท่านเข้าหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑ แล้ว ท่านไม่ประสงค์จะได้ช่างรังวัดของกรมที่ดิน เนื่องจากคิวรังวัดมีระยะเวลา หรือเห็นว่าการใช้บริการสำนักงานของเอกชนจะสะดวกรวดเร็วกว่าก็ให้ติดต่อ สำนักงาน เอกชนที่ได้รับใบอนุญาตโดยถูกต้องตามกฎหมายเป็นผู้ดำเนินการให้จาก นั้น ให้ไปยื่นคำขอรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดหรือสำนักงานที่ดินจังหวัดสาขา ที่ดินตั้งอยู่ในเขตรับผิดชอบ โดยในคำขอจะต้องระบุด้วยว่าให้สำนักงานช่าง รังวัดเอกชนใดเป็นผู้ทำการรังวัด
เมื่อสำนักงานช่างรังวัดเอกชนได้รับเรื่องรังวัดจากสำนักงาน ที่ดินแล้วและได้ดำเนินการรังวัดเสร็จแล้ว ผู้จัดการสำนักงานช่างรังวัดเอกชนจะเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องและลงชื่อ รับรองผลการรังวัด จากนั้นจะส่งเรื่องรังวัดดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งเมื่อเจ้าพนักงาน ที่ดินตรวจสอบและใหéความ เห็นชอบแล้ว จะถือว่าการรังวัดนั้นเป็นการรังวัดโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ จึง เป็นหน้าที่ที่สำนักงานที่ดินที่จะดำเนินการแบ่งแยกหรือรวมโฉนดที่ดินต่อไป
หมายเหตุ
๑. การสอบเขตโฉนดที่ดิน หมายถึง การที่เจ้าของที่ดินมีความประสงค์ จะขอรังวัดสอบเขต เนื่องจากเขตที่ครอบครองอยู่ในปัจจุบันไม่ตรงตาม โฉนดที่ดินหรือรูปแผนที่อาจคลาดเคลื่อน
ไม่ตรงกับสภาพที่ดินที่ครอบ ครองอยู่ เป็นต้น
๒. การแบ่งแยกโฉนดที่ดิน หมายถึง เจ้าของที่ดินที่มีโฉนดที่ดินอยู่แล้ว มีความประสงค์จะแบ่งแยกที่
ดินให้เป็นแปลงย่อยต่อไปอีก มีหลาย ประเภทด้วยกัน เช่น แบ่งกรรมสิทธิ์รวม แบ่งแยกในนามเดิม แบ่งขาย แบ่งให้
๓. การรวมโฉนดที่ดิน หมายถึง การที่เจ้าของที่ดินต้องการรวมโฉนดที่ดิน
ของตนตั้งแต่ ๒ แปลงขึ้นไปเข้าเป็นแปลงเดียวกัน
๖. การขออายัดที่ดิน
การอายัดที่ดิน หมายถึงการห้ามมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ
เกี่ยวกับที่ดิน เช่น ห้ามมีการซื้อขาย จำหน่ายโอนหรือทำให้ที่ดินเปลี่ยนเจ้าของไป
ผู้ที่จะขอต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินที่จะฟ้องบังคับ ให้มีการจด ทะเบียน หรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ เช่น เจ้าของที่ไม่ยอมขาย ที่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ผู้จะซื้อมีสิทธิขออายัดที่ดินไว้ก่อนได้ โดยยื่นเรื่องให้เจ้าหน้าที่สอบสวนก่อน ถ้าเจ้าหน้าที่เห็น
สมควรก็จะสั่งอายัดไว้ได้ แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน เพื่อให้ผู้ขอไปดำเนินการฟ้องร้อง เมื่อฟ้องศาลเกี่ยวกับ คดีที่ขออายัดแล้ว ผู้ขออายัดจะต้องนำหลักฐานการยื่นฟ้อง ซึ่งได้แก่ ใบ รับคำฟéอง พร้อมทั้งสำเนาคำฟ้องในคดีที่ขออายัด มาแสดงต่อเจ้าพนักงาน ที่ดินภายในกำหนดเวลาที่ขออายัด หากไม่ไปฟ้องศาลภายในกำหนดที่เจ้าหน้าที่สั่ง การอายัดก็จะสิ้นสุดลง เมื่อสิ้น
สุดลงแล้วจะไปขออายัดที่ดิน แปลงเดียวกันอีกไม่ได้ เนื่องจากเป็นการอายัดซ้ำ หากฟ้องในกำหนดแล้วและนำหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้วการอายัดก็จะ มีอยู่ตลอดไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น (ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๘๓)
๗. ค่าธรรมเนียมในการติดต่อเกี่ยวกับที่ดิน
ในการติดต่อกับกรมที่ดินหรือที่ว่าการอำเภอ ไม่ว่าจะเป็น
การขอจด ทะเบียนสิทธิและการทำนิติกรรมหรือการขอออกโฉนดที่ดิน น.ส. ๓ หรือ ใบแทน ผู้ขอจะต้องเสียค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตามอัตราที่ได้กำหนดไว้ นอกจากนี้ในบางกรณี เช่น การ
ขอรังวัดที่ดิน ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วย
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในเรื่องที่ดิน
ก. ค่าธรรมเนียม
(๑) ค่าธรรมเนียมในการขอสัมปทาน รายละ ๕๐๐ บาท
(๒) ค่าสัมปทานปีหนึ่ง ไร่ละ ๒๐ บาท
เศษของไร่ให้คิดเป็นหนึ่งไร่
(๓) ค่าธรรมเนียมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(ก) ที่ดินเนื้อที่ไม่เกิน ๒๐ ไร่ แปลงละ ๓๐ บาท
(ข) ที่ดินเนื้อที่เกิน ๒๐ ไร่ ส่วนที่เกิน ไร่ละ ๒ บาท
เศษของไร่ให้คิดเป็นหนึ่งไร่
(๔) ค่าธรรมเนียมการพิสูจน์สอบสวนหรือตรวจสอบ
เนื้อที่เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(ก) ถ้าเรียกเป็นรายแปลง แปลงละ ๓๐ บาท
(ข) ถ้าเรียกเป็นรายวัน วันละ ๓๐ บาท
(ค) ค่าคัดหรือจำลองแผนที่ แปลงละ ๓๐ บาท
(ง) ค่าคำนวณเนื้อที่หรือสอบแส แปลงละ ๓๐ บาท
(จ) ค่าจับระยะ แปลงละ ๑๐ บาท
(๕) ค่าธรรมเนียมออกโฉนดที่ดิน
(ก) ที่ดินเนื้อที่ไม่เกิน ๒๐ ไร่ แปลงละ ๕๐ บาท
(ข) ที่ดินเนื้อที่เกิน ๒๐ ไร่ ส่วนที่เกิน ไร่ละ ๒ บาท
เศษของไร่ให้คิดเป็นหนึ่งไร่
(๖) ค่าธรรมเนียมรังวัดเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน
(ก) ถ้าเรียกเป็นรายแปลง แปลงละ ๔๐ บาท
(ข) ถ้าเรียกเป็นรายวัน วันละ ๔๐ บาท
(ค) ค่าคัดหรือจำลองแผนที่ แปลงละ ๓๐ บาท
(ง) ค่าคำนวณเนื้อที่หรือสอบแส แปลงละ ๓๐ บาท
(จ) ค่าจับระยะ แปลงละ ๑๐ บาท
(๗) ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
(ก) ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมมีทุนทรัพย์เรียกตาม
ราคาประเมินทุนทรัพย์ตามที่คณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์กำหนด ร้อยละ ๒
(ข) ค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ เฉพาะในกรณีที่องค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ หรือบริษัทจำกัดที่สถาบันการเงินตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารสิน เชื่ออสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.๒๕๔๐จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์โดยความ เห็นชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับโอนหรือโอนคืนหรือกรณีที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความ เห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต.เป็นผู้รับโอนให้เรียกตามราคาประเมินทุนทรัพย์ตามที่คณะกรรมการกำหนด ราคาประเมินทุนทรัพย์กำหนด ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
(ค) ค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ เฉพาะในกรณีที่
มูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หรือมูลนิธิ สายใจไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นผู้รับโอนหรือผู้
โอนเรียกตามราคาประเมินทุนทรัพย์ตามที่คณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ กำหนด ร้อยละ ๐.๐๐๑
(ง) ค่าจดทะเบียนโอนมรดกหรือให้ ทั้งนี้ เฉพาะในระหว่างผู้บุพการีกับผู้สืบสันดาน หรือระหว่างคู่สมรสเรียกตามราคาประเมินทุนทรัพย์ตามที่คณะกรรมการกำหนดราคา ประเมินทุนทรัพย์กำหนด ร้อยละ ๐.๕
(จ) ค่าจดทะเบียนเฉพาะในกรณีที่วัดวาอาราม วัดบาดหลวง
โรมันคาธอลิค หรือมัสยิดอิสลามเป็นผู้รับให้ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งศาสนสถาน ทั้งนี้ ในส่วนที่ได้มารวมกับที่ดินที่มีอยู่ก่อนแล้วไม่เกิน ๕๐ ไร่ เรียกตามราคา
ประเมินทุนทรัพย์ตามที่คณะกรรมการกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์กำหนด ร้อยละ ๐.๐๑
(ฉ) ค่าจดทะเบียนการจำนองหรือบุริมสิทธิ ร้อยละ ๑
แต่อย่างสูงไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
(ช) ค่าจดทะเบียนการจำนองหรือบุริมสิทธิสำหรับการให้
สินเชื่อเพื่อการเกษตรของสถาบันการเงินที่รัฐมนตรีกำหนด ร้อยละ ๐.๕
แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
(ซ) ค่าจดทะเบียนการจำนองหรือบุริมสิทธิ เฉพาะในกรณี
ที่องค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์หรือบริษัทจำกัดที่สถาบันการเงิน ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
โดยความเห็นชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ขอจดทะเบียน ร้อยละ ๐.๐๑
แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
(ฌ) ค่าจดทะเบียนโอนสิทธิการรับจำนอง เฉพาะในกรณีที่
สถาบันการเงินรับโอนสิทธิเรียกร้องจากการขายทรัพย์ สินเพื่อชำระบัญชีของบริษัทที่
ถูกระงับการดำเนินกิจการตามมาตรา๓๐แห่งพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการ เงิน พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นผู้ขอจดทะเบียน ร้อยละ ๐.๐๑ แต่อย่างสูงไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
(ญ) ค่าจดทะเบียนการจำนอง สำหรับการให้สินเชื่อเพื่อ
ฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัย อัคคีภัย วาตภัย หรือมหันตภัยอื่น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด ร้อยละ ๐.๐๑
(ฎ) ค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ และค่าจดทะเบียน
การจำนองเฉพาะในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ลดหย่อนค่า ธรรมเนียมเป็นพิเศษเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือความมั่นคงใน
ทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ร้อยละ ๐.๐๑
(ฏ) ค่าจดทะเบียนทรัพยสิทธิที่มีค่าตอบแทน ยกเว้นการ
จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ที่มีทุนทรัพย์ตาม (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) และ (ฎ)ร้อยละ ๑
(ฐ) ค่าจดทะเบียนการเช่า ร้อยละ ๑
(ฑ) ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไม่มีทุนทรัพย์
แปลงละ ๕๐ บาท
(๘) ค่าธรรมเนียมการขอให้ได้มาซึ่งที่ดิน
ของคนต่างด้าว รายละ ๕๐๐ บาท
ค่าอนุญาต ไร่ละ ๑๐๐ บาท
เศษของไร่ให้คิดเป็นหนึ่งไร่
(๙) ค่าธรรมเนียมการขอให้ได้มาซึ่ง
ที่ดินเพื่อการค้าที่ดิน รายละ ๕๐๐ บาท
ค่าอนุญาต ไร่ละ ๒๐ บาท
เศษของไร่ให้คิดเป็นหนึ่งไร่
(๑๐) ค่าธรรมเนียมเบ็ดเตล็ด
(ก) ค่าคำขอ แปลงละ ๕ บาท
(ข) ค่าคัดสำเนาเอกสารต่างๆ รวมทั้งค่าคัดสำเนาเอกสาร
เป็นพยานในคดีแพ่ง โดยเจ้าหน้าที่เป็นผู้คัด ร้อย
คำแรกหรือไม่ถึงร้อยคำ ๑๐ บาท
ร้อยคำต่อไป ร้อยละ ๕ บาท
เศษของร้อยให้คิดเป็นหนึ่งร้อย
(ค) ค่ารับรองเอกสารที่คัด ฉบับละ ๑๐ บาท
(ง) ค่าตรวจหลักฐานทะเบียนที่ดิน แปลงละ ๑๐ บาท
(จ) ค่ารับอายัดที่ดิน แปลงละ ๑๐ บาท
(ฉ) ค่ามอบอำนาจ เรื่องละ ๒๐ บาท
(ช) ค่าออกใบแทนโฉนดที่ดิน
หรือหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินอย่างอื่น ฉบับละ ๕๐ บาท
(ซ) ค่าประกาศ แปลงละ ๑๐ บาท
(ฌ) ค่าหลักเขตที่ดิน หลักละ ๑๕ บาท
ถ้าเป็นการเดินสำรวจหรือสอบเขตทั้งตำบล
สำหรับกรณีออกโฉนดคิดเป็นรายแปลง แปลงละ ๖๐ บาท
ราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียน สิทธิและนิติกรรม หรือราคาทุนทรัพย์ที่ผู้ขอจดทะเบียนแสดงในการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามข้อ ๒ (๗) ถ้ามีเศษต่ำกว่าหนึ่งร้อยบาทให้คิดเป็นหนึ่งร้อยบาท
การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมข้างต้น เศษของหนึ่งบาทให้คิดเป็นหนึ่งบาท
ข. ค่าใช้จ่าย
(๑) ค่าพาหนะเดินทางให้แก่เจ้าพนักงาน พนักงานเจ้าหน้าที่และคนงานที่จ้างไปทำการรังวัดเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน
หรือพิสูจน์สอบสวนหรือตรวจสอบเนื้อที่เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตามคำขอ ให้จ่ายในลักษณะเหมาจ่ายตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ด้วยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
(๒) ค่าเบี้ยเลี้ยงให้แก่เจ้าพนักงาน พนักงานเจ้าหน้าที่ และค่าจ้างคนงานที่จ้างไปทำการรังวัดเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน หรือพิสูจน์สอบสวน หรือตรวจสอบเนื้อที่เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามคำขอ ให้
จ่ายในลักษณะเหมาจ่ายตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ด้วยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
(๓)ค่าป่วยการให้แก่เจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่หรือผู้แทน ที่ไปในการรังวัดเกี่ยวกับ
โฉนดที่ดิน หรือพิสูจน์สอบสวน หรือตรวจสอบเนื้อที่เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์คนหนึ่ง วันละ ๕๐ บาท
(๔) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการรังวัดเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน หรือพิสูจน์สอบสวน หรือ
ตรวจสอบเนื้อที่เกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ให้จ่ายในลักษณะเหมาจ่ายตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยด้วยความเห็นชอบของกระทรวง การคลัง
(๕) ค่าปิดประกาศให้แก่ผู้ปิดประกาศแปลงละ ๑๐ บาท
(๖) ค่าพยานให้แก่พยาน คนละ ๑๐ บาท
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553
โรคติดต่ออะไรบ้างที่ ต้องรายงาน? และรายงานใคร? อย่างไร?
โรคติดต่ออะไรบ้างที่ ต้องรายงาน? และรายงานใคร? อย่างไร?
panpan (125.24.141.*) [ 10 ม.ค. 2551 21:04 น. ]
โดยคุณ earth ส่งเมล์ถึง earth (61.7.132.*) [ 26 ม.ค. 2551 16:53 น. ] ผู้ตอบคนที่ 1
ระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 เป็นระบบที่ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล และสถานีอนามัยทุกแห่ง(โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง โรงพยาบาลเอกชนยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด) ในการเฝ้าระวังโรค/ภัย ที่อาจเกิดการระบาดได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันควบคุมโรค/ภัย เป็นหลัก มิใช่เป็นรายงานสถิติของโรคนั้นๆ [ส่วนใหญ่ ใช้นิยามผู้ป่วยเป็น "ผู้ป่วยที่สงสัย(suspect)" ไม่ใช่ "ผู้ป่วยที่ยืนยัน(confirm)" โปรดดูนิยามในการเก็บข้อมูลประกอบการใช้ข้อมูลด้วย]
ได้แก่
Communicable Diseases
Acute Flaccid Paralysis
AEFI
Amoebiasis other organ
Anthrax
Capillariasis
Chickenpox
Cholera
D.H.F.
D.H.F.shock syndrome
Dengue fever
Diarrhoea
Diphtheria
Dysentery, uns.
Dysentery,Amoebic
Dysentery,Bacillary
Encephalitis uns.
Enteric fever
Eosinophilic Meningitis
Filariasis
Food Poisoning
H.conjunctivitis
Hand,foot and mouth disease
Hepatitis A
Hepatitis B
Hepatitis C
Hepatitis D
Hepatitis E
Hepatitis uns.
Herpes zoster
Influenza
Japanese B encephalitis
Kala azar
Leptospirosis
Leprosy
Liver fluke
Malaria
Measles
Measles c Complication
Melioidosis
Meningitis,uns.
Meningococcal Meningitis
Mumps
Mushroom poisoning
Paratyphoid
Pertussis
Pneumonia
Poliomyelitis
PUO
Rabies
Reye syndrome
Rubella
Scarlet fever
Scrub Typhus
T.B. other organs
T.B.meningitis
T.B.pulmonary
Tetanus exc.Neo.
Tetanus neonatorum
Trichinosis
Tropical ulcer
Typhoid
Yaw,infectious
Environmental-Occupational diseases
Gas vapor poisoning
Lead poisoning
Mn,Hg,As poisoning
Pesticide poisoning
Petroleum poisoning
Physical Hazard
Pneumoconiosis
Sexually Transmitted Diseases
Chancroid
Condyloma Acuminata
Genital Herpes Simplex
Gonorrhoea
L.G.V.&other&unsp.V.D.
N.S.U./V
Other STI
Syphilis
Other
Cassava poisoning
Drug poisoning
Snake bite
Suicide
กลุ่มโรคที่ถูกจัดลำดับความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งพิจารณา จากความรุนแรงของโรค ความเร็วของการแพร่ระบาด โรคที่เป็นนโยบาย ฯลฯ โดยขอความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดจัดรวบรวมข้อมูล คือ
กลุ่มโรคที่ต้องรายงานทันที/ภายใน ๒๔ ชั่วโมง โดยใช้แบบรายงาน 506 หรือแบบรายงาน
E1 ส่งทางโทรสาร หรือโทรศัพท์แจ้งข้อมูล ได้แก่
1. Cholera (Severe diarrhea) อหิวาตกโรค (อุจจาระร่วงอย่างแรง)
2. SARS โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันแบบรุนแรง
3. Avian Influenza ไข้หวัดนก
4. Diphtheria คอตีบ
5. Meningococcal Meningitis ไข้กาฬหลังแอ่น
6. Antrax แอนแทรกซ์
7. Rabies พิษสุนัขบ้า
8. Severe AEFI อาการภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
9. Polio-AFP โปลิโอ – กล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบเฉียบพลัน
10. Cluster of food poisoning อาหารเป็นพิษที่ผู้ป่วยมาเป็นกลุ่ม
11. Severe unknown infectious diseases, Death of unknown origin ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตแบบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
12. DHF , DF , DSS ไข้เลือดออก, ไข้เดงกี่ , ไข้เลือดออกช็อค
13. Measles หัด
14. Encephalitis ไข้สมองอักเสบ
15. Influenza ไข้หวัดใหญ่
16. Hand-foot-mouth disease มือ-เท้า-ปาก
17. Leptospirosis ไข้ฉี่หนู
18. Pertussis ไอกรน
19. Tetanus neonatorum บาดทะยักในเด็กแรกเกิด
20. Pneumonia (Death) ปอดบวมที่เสียชีวิต
21. โรคอื่นๆ ที่เกิดผิดปกติในพื้นที่
วัน เวลา ราชการ แจ้งได้ที่ กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด หมายเลขโทรศัพท์ภายใน 141 , หมายเลขโทรศัพท์ภายนอก 043-527161
วันหยุดราชการ (เวลาราชการ) แจ้งได้ที่ งานระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด โทร. 043-515206 , 043-511754 ต่อ 112
เนื่องจากเป็นระบบรายงานที่ต้องการความรวดเร็วในการแจ้ง ดังนั้น ตัวเลข อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ จึงขอให้ใช้ข้อมูลด้วยความระมัดระวัง
โดยคุณ อดิเรก ศิริษา นักวิชาการสาธารณสุข ส่งเมล์ถึง อดิเรก ศิริษา นักวิชาการสาธารณสุข (61.7.132.*) [ 27 ม.ค. 2551 16:20 น. ] ผู้ตอบคนที่ 2
ขอเพิ่มเติมโรคที่ต้องรายงานภายใน 24 ชั่วโมง อีก 4 โรค ครับ
ระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค ๕๐๖ เป็นระบบที่ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล และสถานีอนามัยทุกแห่ง(โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง โรงพยาบาลเอกชนยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด) ในการเฝ้าระวังโรค/ภัย ที่อาจเกิดการระบาดได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันควบคุมโรค/ภัย เป็นหลัก มิใช่เป็นรายงานสถิติของโรคนั้นๆ [ส่วนใหญ่ ใช้นิยามผู้ป่วยเป็น "ผู้ป่วยที่สงสัย(suspect)" ไม่ใช่ "ผู้ป่วยที่ยืนยัน(confirm)" โปรดดูนิยามในการเก็บข้อมูลประกอบการใช้ข้อมูลด้วย]
ได้แก่
Communicable Diseases
Acute Flaccid Paralysis
AEFI
Amoebiasis other organ
Anthrax
Capillariasis
Chickenpox
Cholera
D.H.F.
D.H.F.shock syndrome
Dengue fever
Diarrhoea
Diphtheria
Dysentery, uns.
Dysentery,Amoebic
Dysentery,Bacillary
Encephalitis uns.
Enteric fever
Eosinophilic Meningitis
Filariasis
Food Poisoning
H.conjunctivitis
Hand,foot and mouth disease
Hepatitis A
Hepatitis B
Hepatitis C
Hepatitis D
Hepatitis E
Hepatitis uns.
Herpes zoster
Influenza
Japanese B encephalitis
Kala azar
Leptospirosis
Leprosy
Liver fluke
Malaria
Measles
Measles c Complication
Melioidosis
Meningitis,uns.
Meningococcal Meningitis
Mumps
Mushroom poisoning
Paratyphoid
Pertussis
Pneumonia
Poliomyelitis
PUO
Rabies
Reye syndrome
Rubella
Scarlet fever
Scrub Typhus
T.B. other organs
T.B.meningitis
T.B.pulmonary
Tetanus exc.Neo.
Tetanus neonatorum
Trichinosis
Tropical ulcer
Typhoid
Yaw,infectious
Environmental-Occupational diseases
Gas vapor poisoning
Lead poisoning
Mn,Hg,As poisoning
Pesticide poisoning
Petroleum poisoning
Physical Hazard
Pneumoconiosis
Sexually Transmitted Diseases
Chancroid
Condyloma Acuminata
Genital Herpes Simplex
Gonorrhoea
L.G.V.&other&unsp.V.D.
N.S.U./V
Other STI
Syphilis
Other
Cassava poisoning
Drug poisoning
Snake bite
Suicide
กลุ่มโรคที่ถูกจัดลำดับความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งพิจารณา จากความรุนแรงของโรค ความเร็วของการแพร่ระบาด โรคที่เป็นนโยบาย ฯลฯ โดยขอความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดจัดรวบรวมข้อมูล คือ
กลุ่มโรคที่ต้องรายงานทันที/ภายใน ๒๔ ชั่วโมง โดยใช้แบบรายงาน 506 หรือแบบรายงาน
E1 ส่งทางโทรสาร หรือโทรศัพท์แจ้งข้อมูล ได้แก่
1. Cholera (Severe diarrhea) อหิวาตกโรค (อุจจาระร่วงอย่างแรง)
2. SARS โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันแบบรุนแรง
3. Avian Influenza ไข้หวัดนก
4. Diphtheria คอตีบ
5. Meningococcal Meningitis ไข้กาฬหลังแอ่น
6. Anthrax แอนแทรกซ์
7. Rabies พิษสุนัขบ้า
8. Severe AEFI อาการภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
9. Polio-AFP โปลิโอ – กล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบเฉียบพลัน
10. Cluster of food poisoning อาหารเป็นพิษที่ผู้ป่วยมาเป็นกลุ่ม
11. Severe unknown infectious diseases, Death of unknown origin ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตแบบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
12. DHF , DF , DSS ไข้เลือดออก, ไข้เดงกี่ , ไข้เลือดออกช็อค
13. Measles หัด
14. Encephalitis ไข้สมองอักเสบ
15. Influenza ไข้หวัดใหญ่
16. Hand-foot-mouth disease มือ-เท้า-ปาก
17. Leptospirosis ไข้ฉี่หนู
18. Pertussis ไอกรน
19. Tetanus neonatorum บาดทะยักในเด็กแรกเกิด
20. Pneumonia (Death) ปอดบวมที่เสียชีวิต
21. โรคอื่นๆ ที่เกิดผิดปกติในพื้นที่
22. Plague กาฬโรค
23. Smallpox ไข้ทรพิษ
24. Botulism โบทิวลิสซึม
เมื่อพบผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยตามเกณฑ์คลินิก หรือตามดุลยพิจของแพทย์ ทั้งที่มีผลการตรวจ และไม่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้แจ้ง
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด หมายเลขโทรศัพท์ภายใน 141 , หมายเลขโทรศัพท์ภายนอก 043-527161 เวลา 8.00 – 16.00 น.
วันหยุดราชการ (เวลาราชการ) แจ้งได้ที่ งานระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด โทร. 043-515206 , 043-511754 ต่อ 112
รายละเอียด Link ไปที่ http://www.somed101.org งานป้องกันควบคุมโรค
ผู้ตอบ นายอดิเรก ศิริษา นักวิชาการสาธารณสุข 7 ว. กลุ่มงานเวชกรรมสังคม งานป้องกันควบคุมโรค โรงพยาบาลร้อยเอ็ด earthsirisa@yahoo.co.th
เนื่องจากเป็นระบบรายงานที่ต้องการความรวดเร็วในการแจ้ง ดังนั้น ตัวเลข อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ จึงขอให้ใช้ข้อมูลด้วยความระมัดระวัง
panpan (125.24.141.*) [ 10 ม.ค. 2551 21:04 น. ]
โดยคุณ earth ส่งเมล์ถึง earth (61.7.132.*) [ 26 ม.ค. 2551 16:53 น. ] ผู้ตอบคนที่ 1
ระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 เป็นระบบที่ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล และสถานีอนามัยทุกแห่ง(โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง โรงพยาบาลเอกชนยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด) ในการเฝ้าระวังโรค/ภัย ที่อาจเกิดการระบาดได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันควบคุมโรค/ภัย เป็นหลัก มิใช่เป็นรายงานสถิติของโรคนั้นๆ [ส่วนใหญ่ ใช้นิยามผู้ป่วยเป็น "ผู้ป่วยที่สงสัย(suspect)" ไม่ใช่ "ผู้ป่วยที่ยืนยัน(confirm)" โปรดดูนิยามในการเก็บข้อมูลประกอบการใช้ข้อมูลด้วย]
ได้แก่
Communicable Diseases
Acute Flaccid Paralysis
AEFI
Amoebiasis other organ
Anthrax
Capillariasis
Chickenpox
Cholera
D.H.F.
D.H.F.shock syndrome
Dengue fever
Diarrhoea
Diphtheria
Dysentery, uns.
Dysentery,Amoebic
Dysentery,Bacillary
Encephalitis uns.
Enteric fever
Eosinophilic Meningitis
Filariasis
Food Poisoning
H.conjunctivitis
Hand,foot and mouth disease
Hepatitis A
Hepatitis B
Hepatitis C
Hepatitis D
Hepatitis E
Hepatitis uns.
Herpes zoster
Influenza
Japanese B encephalitis
Kala azar
Leptospirosis
Leprosy
Liver fluke
Malaria
Measles
Measles c Complication
Melioidosis
Meningitis,uns.
Meningococcal Meningitis
Mumps
Mushroom poisoning
Paratyphoid
Pertussis
Pneumonia
Poliomyelitis
PUO
Rabies
Reye syndrome
Rubella
Scarlet fever
Scrub Typhus
T.B. other organs
T.B.meningitis
T.B.pulmonary
Tetanus exc.Neo.
Tetanus neonatorum
Trichinosis
Tropical ulcer
Typhoid
Yaw,infectious
Environmental-Occupational diseases
Gas vapor poisoning
Lead poisoning
Mn,Hg,As poisoning
Pesticide poisoning
Petroleum poisoning
Physical Hazard
Pneumoconiosis
Sexually Transmitted Diseases
Chancroid
Condyloma Acuminata
Genital Herpes Simplex
Gonorrhoea
L.G.V.&other&unsp.V.D.
N.S.U./V
Other STI
Syphilis
Other
Cassava poisoning
Drug poisoning
Snake bite
Suicide
กลุ่มโรคที่ถูกจัดลำดับความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งพิจารณา จากความรุนแรงของโรค ความเร็วของการแพร่ระบาด โรคที่เป็นนโยบาย ฯลฯ โดยขอความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดจัดรวบรวมข้อมูล คือ
กลุ่มโรคที่ต้องรายงานทันที/ภายใน ๒๔ ชั่วโมง โดยใช้แบบรายงาน 506 หรือแบบรายงาน
E1 ส่งทางโทรสาร หรือโทรศัพท์แจ้งข้อมูล ได้แก่
1. Cholera (Severe diarrhea) อหิวาตกโรค (อุจจาระร่วงอย่างแรง)
2. SARS โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันแบบรุนแรง
3. Avian Influenza ไข้หวัดนก
4. Diphtheria คอตีบ
5. Meningococcal Meningitis ไข้กาฬหลังแอ่น
6. Antrax แอนแทรกซ์
7. Rabies พิษสุนัขบ้า
8. Severe AEFI อาการภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
9. Polio-AFP โปลิโอ – กล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบเฉียบพลัน
10. Cluster of food poisoning อาหารเป็นพิษที่ผู้ป่วยมาเป็นกลุ่ม
11. Severe unknown infectious diseases, Death of unknown origin ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตแบบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
12. DHF , DF , DSS ไข้เลือดออก, ไข้เดงกี่ , ไข้เลือดออกช็อค
13. Measles หัด
14. Encephalitis ไข้สมองอักเสบ
15. Influenza ไข้หวัดใหญ่
16. Hand-foot-mouth disease มือ-เท้า-ปาก
17. Leptospirosis ไข้ฉี่หนู
18. Pertussis ไอกรน
19. Tetanus neonatorum บาดทะยักในเด็กแรกเกิด
20. Pneumonia (Death) ปอดบวมที่เสียชีวิต
21. โรคอื่นๆ ที่เกิดผิดปกติในพื้นที่
วัน เวลา ราชการ แจ้งได้ที่ กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด หมายเลขโทรศัพท์ภายใน 141 , หมายเลขโทรศัพท์ภายนอก 043-527161
วันหยุดราชการ (เวลาราชการ) แจ้งได้ที่ งานระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด โทร. 043-515206 , 043-511754 ต่อ 112
เนื่องจากเป็นระบบรายงานที่ต้องการความรวดเร็วในการแจ้ง ดังนั้น ตัวเลข อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ จึงขอให้ใช้ข้อมูลด้วยความระมัดระวัง
โดยคุณ อดิเรก ศิริษา นักวิชาการสาธารณสุข ส่งเมล์ถึง อดิเรก ศิริษา นักวิชาการสาธารณสุข (61.7.132.*) [ 27 ม.ค. 2551 16:20 น. ] ผู้ตอบคนที่ 2
ขอเพิ่มเติมโรคที่ต้องรายงานภายใน 24 ชั่วโมง อีก 4 โรค ครับ
ระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค ๕๐๖ เป็นระบบที่ได้รับความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล และสถานีอนามัยทุกแห่ง(โรงพยาบาลรัฐทุกแห่ง โรงพยาบาลเอกชนยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด) ในการเฝ้าระวังโรค/ภัย ที่อาจเกิดการระบาดได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันควบคุมโรค/ภัย เป็นหลัก มิใช่เป็นรายงานสถิติของโรคนั้นๆ [ส่วนใหญ่ ใช้นิยามผู้ป่วยเป็น "ผู้ป่วยที่สงสัย(suspect)" ไม่ใช่ "ผู้ป่วยที่ยืนยัน(confirm)" โปรดดูนิยามในการเก็บข้อมูลประกอบการใช้ข้อมูลด้วย]
ได้แก่
Communicable Diseases
Acute Flaccid Paralysis
AEFI
Amoebiasis other organ
Anthrax
Capillariasis
Chickenpox
Cholera
D.H.F.
D.H.F.shock syndrome
Dengue fever
Diarrhoea
Diphtheria
Dysentery, uns.
Dysentery,Amoebic
Dysentery,Bacillary
Encephalitis uns.
Enteric fever
Eosinophilic Meningitis
Filariasis
Food Poisoning
H.conjunctivitis
Hand,foot and mouth disease
Hepatitis A
Hepatitis B
Hepatitis C
Hepatitis D
Hepatitis E
Hepatitis uns.
Herpes zoster
Influenza
Japanese B encephalitis
Kala azar
Leptospirosis
Leprosy
Liver fluke
Malaria
Measles
Measles c Complication
Melioidosis
Meningitis,uns.
Meningococcal Meningitis
Mumps
Mushroom poisoning
Paratyphoid
Pertussis
Pneumonia
Poliomyelitis
PUO
Rabies
Reye syndrome
Rubella
Scarlet fever
Scrub Typhus
T.B. other organs
T.B.meningitis
T.B.pulmonary
Tetanus exc.Neo.
Tetanus neonatorum
Trichinosis
Tropical ulcer
Typhoid
Yaw,infectious
Environmental-Occupational diseases
Gas vapor poisoning
Lead poisoning
Mn,Hg,As poisoning
Pesticide poisoning
Petroleum poisoning
Physical Hazard
Pneumoconiosis
Sexually Transmitted Diseases
Chancroid
Condyloma Acuminata
Genital Herpes Simplex
Gonorrhoea
L.G.V.&other&unsp.V.D.
N.S.U./V
Other STI
Syphilis
Other
Cassava poisoning
Drug poisoning
Snake bite
Suicide
กลุ่มโรคที่ถูกจัดลำดับความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งพิจารณา จากความรุนแรงของโรค ความเร็วของการแพร่ระบาด โรคที่เป็นนโยบาย ฯลฯ โดยขอความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดจัดรวบรวมข้อมูล คือ
กลุ่มโรคที่ต้องรายงานทันที/ภายใน ๒๔ ชั่วโมง โดยใช้แบบรายงาน 506 หรือแบบรายงาน
E1 ส่งทางโทรสาร หรือโทรศัพท์แจ้งข้อมูล ได้แก่
1. Cholera (Severe diarrhea) อหิวาตกโรค (อุจจาระร่วงอย่างแรง)
2. SARS โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันแบบรุนแรง
3. Avian Influenza ไข้หวัดนก
4. Diphtheria คอตีบ
5. Meningococcal Meningitis ไข้กาฬหลังแอ่น
6. Anthrax แอนแทรกซ์
7. Rabies พิษสุนัขบ้า
8. Severe AEFI อาการภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
9. Polio-AFP โปลิโอ – กล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบเฉียบพลัน
10. Cluster of food poisoning อาหารเป็นพิษที่ผู้ป่วยมาเป็นกลุ่ม
11. Severe unknown infectious diseases, Death of unknown origin ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตแบบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ
12. DHF , DF , DSS ไข้เลือดออก, ไข้เดงกี่ , ไข้เลือดออกช็อค
13. Measles หัด
14. Encephalitis ไข้สมองอักเสบ
15. Influenza ไข้หวัดใหญ่
16. Hand-foot-mouth disease มือ-เท้า-ปาก
17. Leptospirosis ไข้ฉี่หนู
18. Pertussis ไอกรน
19. Tetanus neonatorum บาดทะยักในเด็กแรกเกิด
20. Pneumonia (Death) ปอดบวมที่เสียชีวิต
21. โรคอื่นๆ ที่เกิดผิดปกติในพื้นที่
22. Plague กาฬโรค
23. Smallpox ไข้ทรพิษ
24. Botulism โบทิวลิสซึม
เมื่อพบผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยตามเกณฑ์คลินิก หรือตามดุลยพิจของแพทย์ ทั้งที่มีผลการตรวจ และไม่มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้แจ้ง
กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลร้อยเอ็ด หมายเลขโทรศัพท์ภายใน 141 , หมายเลขโทรศัพท์ภายนอก 043-527161 เวลา 8.00 – 16.00 น.
วันหยุดราชการ (เวลาราชการ) แจ้งได้ที่ งานระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด โทร. 043-515206 , 043-511754 ต่อ 112
รายละเอียด Link ไปที่ http://www.somed101.org งานป้องกันควบคุมโรค
ผู้ตอบ นายอดิเรก ศิริษา นักวิชาการสาธารณสุข 7 ว. กลุ่มงานเวชกรรมสังคม งานป้องกันควบคุมโรค โรงพยาบาลร้อยเอ็ด earthsirisa@yahoo.co.th
เนื่องจากเป็นระบบรายงานที่ต้องการความรวดเร็วในการแจ้ง ดังนั้น ตัวเลข อาจมีการคลาดเคลื่อนได้ จึงขอให้ใช้ข้อมูลด้วยความระมัดระวัง
วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553
** โครงการรับยา ฟรี สำหรับผู้ป่วย มะเร็ง เม็ดเลือดขาว และ มะเร็งกระเพาะอาหาร **
** โครงการรับยา ฟรี สำหรับผู้ป่วย มะเร็ง เม็ดเลือดขาว และ มะเร็งกระเพาะอาหาร **
เป็นประโยชน์ ช่วย บอกต่อค่ะ
ขอประชาสัมพันธ์ครับ สำหรับผู้ป่วย หรือมีคนใกล้ตัว คนข้างบ้าน หรือคนรู้จัก เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
(ลูคีเมีย) และ มะเร็งกระเพาะอาหาร จะได้ช่วยกันบอก ต่อ...
>
> แจกยาฟรีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคร้ายที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน
> และคร่าชีวิตผู้คนในอันดับต้นๆ ในทุกวันนี้ คงต้องนับรวมมะเร็งเม็ดเลือดขาวและ มะเร็งกระเพาะ
> อาหารไว้ด้วย
>
> โดยผู้ ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวกับความผิด ปกติของเลือดนี้ ส่วนใหญ่
> นอกจากจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายค่ายาสูงลิบ ก็ยังประสบปัญหาเรื่องการทำงานการใช้ชีวิต
> ที่ มีข้อจำกัดอย่างยิ่ง ภาวะของโรคจะบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ
> สร้างความหดหู่ทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด
>
> ล่าสุด บริษัทยาข้ามชาติโนวาร์ตีส ได้จัดตั้งโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป
> (GIPAP:Glivec InternationalPatient Assistance Program) ซึ่ง เป็นโครงการให้ความ
> ช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด ขาวชนิดเรื้อรัง ( Chronic Myeloid Leukemia) ที่มี ผล
> ฟิลาเดเฟียโครโมโซม ( philadephia chromosome) เป็นบวก ผู้ป่วยมีอาการในระยะรุนแรง
> ของโรค หรือผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดจีสต์ ( GIST-Grstro-Intesinal Stromal
> Tumor) ที่ผ่าตัดไม่ได้ และอยู่ใน ระยะลุกลาม (มี c-Kill หรือ CD117 เป็นบวก)
>
> โดยโครงการจะจัดมอบยาของบริษัทให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้งจะมอบให้ต่อเนื่อง
> จนกว่าจะมียาอื่นที่เป็นทาง เลือก ของผู้ป่วยได้ต่อไป ! ;
>
> ดร.แดเนียล วาเซลลา ผู้บริหารระดับสูงของโนวาร์ตีส ( สหรัฐอเมริกา) กล่าวว่าประเทศไทย
> เป็นหนึ่งใน 80 ประเทศทั่วโลก ที่ได้ร ับอนุมัติในโครงการดังกล่าว ปัจจุบันจีนพบมีผู้ป่วยมากกว่า
> 1.8 หมื่นราย โดย มีผู้ป่วยจากประเทศไทยประมาณ 800 คนซึ่งนับว่ายังน้อยมาก
>
> จึงต้องการประชาสัมพันธ์เพื่อผู้ป่วย ด้วยโรคดังกล่าวอาจจะสนใจเข้าร่วมโครงการ
> ทั้ง นี้ ได้จัดตั้งมูลนิธิแมกซ์ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลนานา ชาติ
> ในการประเมินและอนุมัติผู้ป่วยที่ มีสิทธิได้รับยาฟรีดังกล่าวทั้งนี้ สำนักงานมูลนิธิแมกซ์
> ตั้งอยู่ที่ซีแอตเติล ประเทศสหรัฐอเมริกา
> ก่อตั้งขึ้นในปี 2540 โดย ' เพโดร ริวาโรลา ' ( Pedro Rivarola)
> เพื่อเป็นเกียรติแก่บุตรชาย ' แม็ก ซิมิเลียโน ริวาโรลา ' (Maximilliano Rivarola)
> ซึ่งเสีย ชีวิตจากโรคมะเร็งเม็ดโลหิตด้วยวัยเพียง 17 ปี
>
> สำหรับมูลนิธิแมกซ์ในประเทศไทยได้จัด ตั้งมูลนิธิสาขา ได้แก่ แมกซ์! (ประเทศไทย)
> ซึ่งจะเป็นผู้ทำการพิจารณาอนุมัติอย่างอิสระ
>
> สำหรับ ผู้ป่วยที่จะขอความช่วยเหลือจากจีแพปได้ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
>
> 1. ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้เชี่ยว ชาญว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง
> (CML-Chronic Myeloid Leukemia) หรือ มะเร็งกระเพาะอาหาร ( GIST)
> ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า มีผล CD 117 เป็นบวก
>
> 2. ผู้ป่วยเป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ใน ประเทศไทย
>
> 3. ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้
>
> 4. ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้ และไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากที่ใดทั้งสิ้น
>
>
> หากมีคุณสมบัติครบให้ปฏิบัติดังนี้
>
> 1. แจ้งความ ประสงค์เข้าร่วมโครงการรับยาฟรีจากจีแพปกับแพทย์ผู้รักษา
> แพทย์ของท่านจะดำเนินการจัดส่งใบสมัครในนามของท่านออ นไลน์ไปที่
> www.themaxfoundation
>
> 2. ให้ราย ละเอียดเกี่ยวกับตัวเอง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และชื่อของแพทย์ผู้รักษา
>
> 3. ภายหลังจากที่แพทย์ของท่าน ส่งใบ สมัครมาที่มูลนิธิแมกซ์แล้ว
> เจ้าหน้าที่จะ ติดต่อกลับไปหาท่านเพื่อนัดสัมภาษณ์
>
> 4. กรณีที่ได้รับการอนุมัติ มูลนิธิจะแจ้งผลไปยังบริษัท โนวาร์ตีส
> ( ประเทศ ไทย) เพื่อจัดส่งยาผ่านแพทย์ผู้รักษาตัวท่าน
>
> 5. แพทย์จะเป็นผู้แจ้ง ผลการพิจารณาผลการอนุมัติให้ท่านทราบเอง >
>
> ส่วนโรงพยาบาลที่เข้าร่วมใน โครงการมี 16 แห่ง คือ
> 1. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
> 2. โรงพยาบาลรามาธิบดี
> 3. ศิริราชพยาบาล
> 4. โรง พยาบาลจุฬาลงกรณ์ ! ;
> 5. โรงพยาบา ลพระมงกุฎเกล้า
> 6. โรงพยาบาลราชวิถี
> 7. โรงพยาบาลวชิรพยาบาล
> 8. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ !
> 9. โรงพยาบาลตำรวจ
> 10. โรงพยาบาลภูมิพล
> 11. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
> 12. สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร
> 13. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
> 14. โรงพยาบาลหาดใหญ่ !
> 15. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และ
> 16. โรงพยาบาลสระบุรี
>
> ผู้ป่วยหรือมีคนใกล้ชิด ป่วยด้วยโรคดังกล่าว
> สามารถติดต่อราย ละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนศักดิ์ อุทิศชลานนท์ และ บุษกร สนธิกร
> หมายเลขโทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8202
> หรือ จะเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ที่ www.gipapthailand.org
> หรือ www.themaxfoundation.com
" บอกต่อได้กุศล ช่วยคนป่วยได้บุญ "
เป็นประโยชน์ ช่วย บอกต่อค่ะ
ขอประชาสัมพันธ์ครับ สำหรับผู้ป่วย หรือมีคนใกล้ตัว คนข้างบ้าน หรือคนรู้จัก เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
(ลูคีเมีย) และ มะเร็งกระเพาะอาหาร จะได้ช่วยกันบอก ต่อ...
>
> แจกยาฟรีผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคร้ายที่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน
> และคร่าชีวิตผู้คนในอันดับต้นๆ ในทุกวันนี้ คงต้องนับรวมมะเร็งเม็ดเลือดขาวและ มะเร็งกระเพาะ
> อาหารไว้ด้วย
>
> โดยผู้ ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวเรื้อรังและโรคที่เกี่ยวกับความผิด ปกติของเลือดนี้ ส่วนใหญ่
> นอกจากจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายค่ายาสูงลิบ ก็ยังประสบปัญหาเรื่องการทำงานการใช้ชีวิต
> ที่ มีข้อจำกัดอย่างยิ่ง ภาวะของโรคจะบั่นทอนลงไปเรื่อยๆ
> สร้างความหดหู่ทั้งต่อผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิด
>
> ล่าสุด บริษัทยาข้ามชาติโนวาร์ตีส ได้จัดตั้งโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยนานาชาติจีแพป
> (GIPAP:Glivec InternationalPatient Assistance Program) ซึ่ง เป็นโครงการให้ความ
> ช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด ขาวชนิดเรื้อรัง ( Chronic Myeloid Leukemia) ที่มี ผล
> ฟิลาเดเฟียโครโมโซม ( philadephia chromosome) เป็นบวก ผู้ป่วยมีอาการในระยะรุนแรง
> ของโรค หรือผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารชนิดจีสต์ ( GIST-Grstro-Intesinal Stromal
> Tumor) ที่ผ่าตัดไม่ได้ และอยู่ใน ระยะลุกลาม (มี c-Kill หรือ CD117 เป็นบวก)
>
> โดยโครงการจะจัดมอบยาของบริษัทให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่คิดมูลค่า รวมทั้งจะมอบให้ต่อเนื่อง
> จนกว่าจะมียาอื่นที่เป็นทาง เลือก ของผู้ป่วยได้ต่อไป ! ;
>
> ดร.แดเนียล วาเซลลา ผู้บริหารระดับสูงของโนวาร์ตีส ( สหรัฐอเมริกา) กล่าวว่าประเทศไทย
> เป็นหนึ่งใน 80 ประเทศทั่วโลก ที่ได้ร ับอนุมัติในโครงการดังกล่าว ปัจจุบันจีนพบมีผู้ป่วยมากกว่า
> 1.8 หมื่นราย โดย มีผู้ป่วยจากประเทศไทยประมาณ 800 คนซึ่งนับว่ายังน้อยมาก
>
> จึงต้องการประชาสัมพันธ์เพื่อผู้ป่วย ด้วยโรคดังกล่าวอาจจะสนใจเข้าร่วมโครงการ
> ทั้ง นี้ ได้จัดตั้งมูลนิธิแมกซ์ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลนานา ชาติ
> ในการประเมินและอนุมัติผู้ป่วยที่ มีสิทธิได้รับยาฟรีดังกล่าวทั้งนี้ สำนักงานมูลนิธิแมกซ์
> ตั้งอยู่ที่ซีแอตเติล ประเทศสหรัฐอเมริกา
> ก่อตั้งขึ้นในปี 2540 โดย ' เพโดร ริวาโรลา ' ( Pedro Rivarola)
> เพื่อเป็นเกียรติแก่บุตรชาย ' แม็ก ซิมิเลียโน ริวาโรลา ' (Maximilliano Rivarola)
> ซึ่งเสีย ชีวิตจากโรคมะเร็งเม็ดโลหิตด้วยวัยเพียง 17 ปี
>
> สำหรับมูลนิธิแมกซ์ในประเทศไทยได้จัด ตั้งมูลนิธิสาขา ได้แก่ แมกซ์! (ประเทศไทย)
> ซึ่งจะเป็นผู้ทำการพิจารณาอนุมัติอย่างอิสระ
>
> สำหรับ ผู้ป่วยที่จะขอความช่วยเหลือจากจีแพปได้ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้
>
> 1. ผู้ป่วยจะต้องได้รับการวินิจฉัยโรคโดยแพทย์ผู้เชี่ยว ชาญว่าป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง
> (CML-Chronic Myeloid Leukemia) หรือ มะเร็งกระเพาะอาหาร ( GIST)
> ซึ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า มีผล CD 117 เป็นบวก
>
> 2. ผู้ป่วยเป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ใน ประเทศไทย
>
> 3. ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้
>
> 4. ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้ และไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากที่ใดทั้งสิ้น
>
>
> หากมีคุณสมบัติครบให้ปฏิบัติดังนี้
>
> 1. แจ้งความ ประสงค์เข้าร่วมโครงการรับยาฟรีจากจีแพปกับแพทย์ผู้รักษา
> แพทย์ของท่านจะดำเนินการจัดส่งใบสมัครในนามของท่านออ นไลน์ไปที่
> www.themaxfoundation
>
> 2. ให้ราย ละเอียดเกี่ยวกับตัวเอง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และชื่อของแพทย์ผู้รักษา
>
> 3. ภายหลังจากที่แพทย์ของท่าน ส่งใบ สมัครมาที่มูลนิธิแมกซ์แล้ว
> เจ้าหน้าที่จะ ติดต่อกลับไปหาท่านเพื่อนัดสัมภาษณ์
>
> 4. กรณีที่ได้รับการอนุมัติ มูลนิธิจะแจ้งผลไปยังบริษัท โนวาร์ตีส
> ( ประเทศ ไทย) เพื่อจัดส่งยาผ่านแพทย์ผู้รักษาตัวท่าน
>
> 5. แพทย์จะเป็นผู้แจ้ง ผลการพิจารณาผลการอนุมัติให้ท่านทราบเอง >
>
> ส่วนโรงพยาบาลที่เข้าร่วมใน โครงการมี 16 แห่ง คือ
> 1. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
> 2. โรงพยาบาลรามาธิบดี
> 3. ศิริราชพยาบาล
> 4. โรง พยาบาลจุฬาลงกรณ์ ! ;
> 5. โรงพยาบา ลพระมงกุฎเกล้า
> 6. โรงพยาบาลราชวิถี
> 7. โรงพยาบาลวชิรพยาบาล
> 8. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ !
> 9. โรงพยาบาลตำรวจ
> 10. โรงพยาบาลภูมิพล
> 11. โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
> 12. สถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร
> 13. โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
> 14. โรงพยาบาลหาดใหญ่ !
> 15. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และ
> 16. โรงพยาบาลสระบุรี
>
> ผู้ป่วยหรือมีคนใกล้ชิด ป่วยด้วยโรคดังกล่าว
> สามารถติดต่อราย ละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนศักดิ์ อุทิศชลานนท์ และ บุษกร สนธิกร
> หมายเลขโทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8202
> หรือ จะเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ที่ www.gipapthailand.org
> หรือ www.themaxfoundation.com
" บอกต่อได้กุศล ช่วยคนป่วยได้บุญ "
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553
อาการปวดศีรษะไมเกรนกับการมีรอบเดือน
สาวๆทราบไหมคะว่า โดยเฉลี่ยแล้ว มีสถิติออกมาว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือที่เรียกว่าไมเกรน (Migraines) จะเป็นผู้หญิง และใน 60 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มนี้ จะมีอาการปวดศีรษะและเกิดขึ้นในช่วงที่มีรอบเดือนอีกด้วยล่ะค่ะ
หลาย คนคงเกิดคำถามว่า ทำไม ฮอร์โมนถึงทำให้เราปวดศีรษะได้ การปวด ศีรษะของสาวๆ มีผลพวงที่เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับที่ลดต่ำลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ ผลิตจากรังไข่ ในระหว่างหรือหลังการมีประจำเดือนนั่นเองค่ะ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่อายุประมาณ 14 ปีขึ้นไป โดยปวดศีรษะข้างเดียว ลักษณะปวดเป็นแบบปวดตุ้บๆ หรือแปล๊บๆ ตำแหน่งที่ปวดอาจจะแตกต่างกัน เช่น กระบอกตา ขมับท้ายทอย หรือทั่วศีรษะ หรือสลับข้างซ้ายขวาอย่างรุนแรง บางครั้งอาจทำให้คลื่นไส้หรืออาเจียนได้
วิธีในการป้องกันและลดความรุนแรง ควรเริ่มจากการออกกำลังกายเป็นประจำ สม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายสร้างสารต่อต้านความเจ็บปวด หรือที่เราคุ้นเคยกับคำว่า เอ็นดอร์ฟิน นั่นเองค่ะ เอ็น ดอร์ฟินมีโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างของมอร์ฟีนจึงมีสรรพคุณเหมือนเป็นยาแก้ ปวดอย่างดีเลยทีเดียว ขณะเดียวกันการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้นอนหลับสบาย ระบบฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายปรับตัวสมดุล เมื่อภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลในช่วงมีประจำเดือนลดลง จะส่งผลให้อาการปวดศีรษะไมเกรนลดลงด้วย
นอก จากนั้นควรลดตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนลง เช่น ลดความเครียด ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ รับประทานยาในกลุ่มแอนตี้พรอสตาแกลนดินที่ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนในช่วง ที่มีประจำเดือนได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือ เภสัชกรก่อนใช้ยา โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารนะคะ
ใน การรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนช่วงที่มีรอบเดือน ควรจะดูแลเรื่องการรับประทานอาหารเพิ่มเติมด้วย มีตัวอย่างอาหารบางประเภทที่เป็นของโปรดของสาวๆ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันอาการปวดดังนี้ค่ะ
-กาเฟอีน มักจะพบในชาและกาแฟ
-สารแทนนินและไทรามีน สารแทนนินเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร เช่น ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ไวน์แดง ส่วนสารไทรามีนเป็นสารลดระดับ
เซโรโทนินในร่างกาย ซึ่งมีอยู่ในกล้วยสุกงอม ช็อกโกแลต เบียร์ เมล็ดพืชบางประเภท และถั่วต่างๆ
-เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
-น้ำตาล เทียม ผงชูรส และสารเจือปนอาหารอื่นๆ
ส่วน อาหารที่ช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของไมเกรน ได้แก่ อาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม เนยแข็ง นั่นเองค่ะ รู้อย่างนี้แล้ว สาวๆลอรีเอะก็มีวิธีระวังและป้องกันการปวดศีรษะไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือน ได้ถูกทางแล้วล่ะค่ะ
หลาย คนคงเกิดคำถามว่า ทำไม ฮอร์โมนถึงทำให้เราปวดศีรษะได้ การปวด ศีรษะของสาวๆ มีผลพวงที่เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงระดับที่ลดต่ำลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ ผลิตจากรังไข่ ในระหว่างหรือหลังการมีประจำเดือนนั่นเองค่ะ อาการนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่อายุประมาณ 14 ปีขึ้นไป โดยปวดศีรษะข้างเดียว ลักษณะปวดเป็นแบบปวดตุ้บๆ หรือแปล๊บๆ ตำแหน่งที่ปวดอาจจะแตกต่างกัน เช่น กระบอกตา ขมับท้ายทอย หรือทั่วศีรษะ หรือสลับข้างซ้ายขวาอย่างรุนแรง บางครั้งอาจทำให้คลื่นไส้หรืออาเจียนได้
วิธีในการป้องกันและลดความรุนแรง ควรเริ่มจากการออกกำลังกายเป็นประจำ สม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายสร้างสารต่อต้านความเจ็บปวด หรือที่เราคุ้นเคยกับคำว่า เอ็นดอร์ฟิน นั่นเองค่ะ เอ็น ดอร์ฟินมีโครงสร้างคล้ายกับโครงสร้างของมอร์ฟีนจึงมีสรรพคุณเหมือนเป็นยาแก้ ปวดอย่างดีเลยทีเดียว ขณะเดียวกันการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้นอนหลับสบาย ระบบฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายปรับตัวสมดุล เมื่อภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลในช่วงมีประจำเดือนลดลง จะส่งผลให้อาการปวดศีรษะไมเกรนลดลงด้วย
นอก จากนั้นควรลดตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดไมเกรนลง เช่น ลดความเครียด ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ รับประทานยาในกลุ่มแอนตี้พรอสตาแกลนดินที่ช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนในช่วง ที่มีประจำเดือนได้ แต่ทั้งนี้ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือ เภสัชกรก่อนใช้ยา โดยเฉพาะผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหารนะคะ
ใน การรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรนช่วงที่มีรอบเดือน ควรจะดูแลเรื่องการรับประทานอาหารเพิ่มเติมด้วย มีตัวอย่างอาหารบางประเภทที่เป็นของโปรดของสาวๆ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันอาการปวดดังนี้ค่ะ
-กาเฟอีน มักจะพบในชาและกาแฟ
-สารแทนนินและไทรามีน สารแทนนินเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในอาหาร เช่น ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ไวน์แดง ส่วนสารไทรามีนเป็นสารลดระดับ
เซโรโทนินในร่างกาย ซึ่งมีอยู่ในกล้วยสุกงอม ช็อกโกแลต เบียร์ เมล็ดพืชบางประเภท และถั่วต่างๆ
-เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
-น้ำตาล เทียม ผงชูรส และสารเจือปนอาหารอื่นๆ
ส่วน อาหารที่ช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของไมเกรน ได้แก่ อาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ นม เนยแข็ง นั่นเองค่ะ รู้อย่างนี้แล้ว สาวๆลอรีเอะก็มีวิธีระวังและป้องกันการปวดศีรษะไมเกรนในช่วงที่มีประจำเดือน ได้ถูกทางแล้วล่ะค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553
วิธีอบรมเด็กตามหลัก พุทธศาสนา
วิธีอบรมเด็กตามหลัก พุทธศาสนา
ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมอยากได้ความสุข ซึ่งปัจจุบันเรามักจะเข้าใจกันว่าทรัพย์คือสิ่งที่จะนำความสุขมาให้ ดัง นั้นเราจึงพยายามที่จะแสวงหาทรัพย์ให้ได้มากที่สุดและแม้การเลี้ยงลูกเราก็ จะพยายามเน้นที่จะอบรมหรือฝึกฝนให้ลูกเป็นคนที่หาเงินได้เก่ง โดยพยายามให้การศึกษาและการฝึกฝนอาชีพให้ได้เก่งกว่าใครๆ ซึ่งการคิดเช่น นี้ก็จะทำให้เราได้คนเก่งแต่ว่าขาดคุณธรรม ซึ่งเด็กที่เก่งโดยไม่มีคุณธรรมนั้นจะเป็นคนเห็นแก่ตัว คือทำอะไรๆก็เพื่อตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงคนอื่น ซึ่งความเห็นแก่ตัวนี้ก็จะทำให้เกิดความ โลภ คืออยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง แล้วการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นทั้งอาจจะในทางที่ถูกและผิดก็จะตามมา อันจะทำให้ทั้งตัวเองก็เดือดร้อนและสังคมก็วุ่นวายอย่างที่กำลังเป็นอยู่ใน สังคมโลกปัจจุบัน
ตามหลักพุทธศาสนาแล้วการอบรม เด็กให้มีคุณธรรมจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าการอบรมให้เด็กเก่ง คือถึงแม้จะมีการสอนเรื่องการศึกษาและอาชีพ แต่ก็มีเรื่องคุณธรรมสอนแทรกอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งคุณธรรมนี้จะช่วยให้เด็กเป็นคนดีและมีปัญญา (ปัญญาในที่นี้หมายถึงความเห็นแจ้งในชีวิต) ที่สำคัญเด็กที่มีคุณธรรมจะ ไม่เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ตัวน้อย เมื่อเห็นแก่ตัวน้อยก็จะเห็นแก่ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ซึ่งคุณธรรมนี้จะนำสันติสุขมาให้สังคมและนำสันติภาพมาให้โลกได้อย่างแน่ นอน ถ้าโลกขาดคุณธรรมโลกก็จะพินาศ ซึ่งคุณธรรมที่จะใช้อบรมเด็กนั้นตามหลักพุทธศาสนาจะสรุปไว้ ๑๐ ประการ อันได้แก่
(๑) เสียสละเพื่อผู้อื่น ซึ่งการเสียสละนี้ก็คือการรู้จักให้ หรือยอม (ให้อภัย) หรือแบ่งปัน หรือการสละสิ่งที่เกินออกไปจากตัวเรา คือตามธรรมชาติของคนเรานี้จะเห็นแก่ตัวและความเห็นแก่ตัวนี้ก็จะทำให้เกิด ความโลภหรืออยากได้สิ่งที่น่าพอใจ (อันได้แก่ สิ่งที่น่ารักน่าใคร่หรือเรื่องทางเพศ, วัตถุ, เกียรติยศชื่อเสียง) อันจะนำไปสู่การแสวงหา แย่งชิง และหวงแหนสิ่งเหล่านี้ แล้วความเดือดร้อนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะจากการแตกความสามัคคี จากอาชญากรรมต่างๆ จากสงคราม จากมลพิษ และจากภัยธรรมชาติ การฝึกให้รู้จักให้หรือเสียสละ เพื่อผู้อื่น ก็เท่ากับเป็นการลดความเดือดร้อนวุ่นวายที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคตด้วย โลกจะลุกเป็นไฟถ้าเราไม่รู้จักให้
(๒) มีศีล ซึ่งการมีศีลก็คือการระวังรักษากาย และวาจาของเราให้เรียบร้อยงดงาม โดยในทางปฏิบัติ ศีลก็คือการไม่เบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม รวมทั้งการงดเว้นการพูดที่ไม่เหมาะสม อันได้แก่การพูดโกหก การพูดคำหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระ ถ้าใครมีศีลก็จะเป็นคนที่สงบและปกติ ถ้าสังคมมีศีล สังคมก็จะสงบสุขและมั่นคง ศีลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่าง ยิ่งถ้าต้องการให้สังคมสงบสุข
(๓) ไม่ลุ่มหลงในกามารมณ์ ซึ่งกามารมณ์นี้ก็คือเรื่องความรัก ความใคร่ หรือความพึงพอใจอย่างยิ่งในสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย (คือจากภาพที่สวยงาม เสียงที่ไพเราะ กลิ่นที่หอมหวน รสที่เอร็ดอร่อย และสัมผัสที่น่าพอใจทางกาย) โดยมีจากเพศตรงข้ามเป็นสิ่งสูงสุด โดยใครที่ติดใจลุ่ม หลงอยู่ในกามารมณ์นี้ก็จะทำให้จิตใจของเขามืดบอด หรือมองไม่เห็นโทษภัยจากกามารมณ์ว่ามันมีโทษภัยตามมามากมายเพียงใด อย่างเช่น โรคติดต่อทางเพศที่ร่ายแรง เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น, ความเหนื่อยยากในการแสวงหา, ภาระที่เพิ่มขึ้น, ความวิตกกังวลเพราะกลัวว่าจะต้องสูญเสียไป, ความทุกข์ตรมเมื่อต้องสูญเสียไป, การฆ่ากันทำร้ายกัน, และการถูกลงโทษเมื่อกามารมณ์ผลักดันให้ต้องทำผิด เป็นต้น ดังนั้นการฝึกให้เอาชนะหรืออยู่เหนือกามารมณ์นี้ได้ ก็เท่ากับเป็นการเอาชนะหรืออยู่เหนือปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ได้ แล้วก็จะหลุดพ้นหรือมีอิสระที่จะเดินไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นและสูงขึ้นต่อไปได้
(๔) มีปัญญา ซึ่งปัญญานี้ก็หมายถึง ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยสิ่งที่ควรรู้สูงสุดก็คือ รู้แจ้ง ชีวิต หรือเห็นแจ้งชีวิต (ส่วนความรู้อื่นๆ เช่น วิชาการต่างๆ อาชีพต่างๆ หรือความรู้เรื่องระบบต่างๆของร่างกาย หรือความรู้เรื่องธรรมชาติรอบๆตัว เป็นต้นนี้ จัดว่าเป็นความรู้รองๆลงมา ซึ่งตามปกติชาวโลกก็สอนกันอยู่แล้ว) ซึ่งปัญญานี้จะมีพื้นฐานมาจากการใช้เหตุผลในการศึกษาธรรมชาติที่เรา สามารถสัมผัสได้จริง และเชื่อในสิ่งที่เราได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น โดยสิ่งที่ศึกษาก็คือร่างกายและจิตใจของเราเองและธรรมชาติรอบๆตัวที่ควรรู้ ผู้ มีปัญญาย่อมเป็นคนฉลาดรอบรู้ มีเหตุมีผล ไม่โง่งมงาย สามารถดำเนินชีวิตให้ถูกต้องจนบรรลุถึงสิ่งสูงสุด (ความไม่มีทุกข์) ของชีวิตได้ ผู้ไร้ปัญญาย่อมมืดบอดและดำเนินชีวิตผิดพลาด จนทำให้ทั้งตัวเองและโลกพินาศได้
(๕) มีความอดทน ซึ่งความอดทนนี้หมายถึง การกระทำสิ่งที่สมควรกระทำ และไม่กระทำในสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ซึ่งที่สมควรกระทำนั้นก็คือสิ่งที่ทำแล้วจะเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเองและ สังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อย่างเช่น การเรียน การทำงาน การช่วยเหลือผู้อื่น และการอบรมปัญญา-สมาธิ เป็นต้น ส่วนสิ่งที่ไม่สมควรทำนั้นก็คือสิ่งที่ทำไปแล้วจะทำให้เกิดปัญหาหรือเกิด ความทุกข์ความเดือดร้อน ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งความอดทนนี้ก็มี ทั้งความอดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้โกรธหรือไม่พอใจ และอดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้รักหรือพอใจ อย่างเช่น อดทนต่อคำด่า หรืออดทนต่อความร้อน ความหนาว และความเหนื่อยยาก เป็นต้น ที่มายั่วให้โกรธหรืออยากทำลาย และอดทนต่อความสนุกสนานเฮฮา ต่อความสวยงามน่ารักใคร่ ต่อความเอร็ดอร่อย ต่อความสุขสบาย ที่มายั่วให้รักหรืออยากได้ เป็นต้น ซึ่งความอดทนสูงสุดก็คือ อดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้รักหรืออยากได้ที่จะนำปัญหามาให้ในภายหลัง ความอดทนจึงเป็นเครื่องกำจัดนิสัยเลวร้ายของจิตใจมนุษย์ที่ดีที่สุด
(๖) มีความพากเพียร ซึ่งความเพียรก็คือ ความขยันหรือความพยายามอดทนทำอย่างต่อเนื่อง คือการที่เราจะทำสิ่งใดให้บรรลุถึงเป้าหมายได้ เราต้องมีความเพียรมาช่วยจึงจะสำเร็จ ถ้าขาดความเพียรจะไม่มีทางสำเร็จ อย่างเช่น เด็กที่มีความพากเพียรในการเรียนก็จะเรียนจบและมีความรู้มาก หรือผู้ที่จะฝึกฝนสิ่งใดก็ต้องขยันฝึกอยู่เสมอๆไม่ละทิ้ง ก็ย่อมที่จะประสบผลสำเร็จได้ เป็นต้น ซึ่งความเพียรนี้เรียกอีกอย่างว่าเป็น ความกล้าหาญ เพราะ ไม่เกลงกลัวปัญหาที่ขวางหน้า แม้ปัญหานั้นจะใหญ่โตสักเพียงใดก็ตามก็สามารถเอาชนะปัญหานั้นได้โดยใช้ความ เพียร ส่วนศัตรูของความเพียรก็คือความเกียจคร้าน (ความไม่อดทนต่อความยากลำบาก) คือแม้จะเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย ถ้าเกียจคร้านก็เอาชนะปัญหานั้นไม่ได้
(๗) มีความจริงใจ ซึ่งความจริงใจนี้ก็คือความซื่อสัตย์ ซึ่งก็มีทั้งซื่อสัตย์ต่อตนเอง คือเป็นคนไม่เหลาะแหละโลเล และซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น คือเมื่อรับปากว่าจะทำสิ่งใดแล้วก็จะทำตามนั้นไม่บิดพลิ้วอย่างเด็ดขาด ซึ่ง คนที่มีความจริงใจเท่านั้นจึงจะได้พบกับความจริงสูงสุด (คือเห็นแจ้งชีวิต) รวมทั้งเป็นที่รักและเคารพของคนที่รู้จัก ส่วนคนที่ไม่มีความจริงใจก็จะไม่พบความจริงสูงสูดและไม่มีใครรักเคารพ
(๘) มีความมั่นคง ซึ่งความมั่นคงนี้ก็ คือความตั้งใจมั่นไม่เปลี่ยนแปลง คือเมื่อเราตั้งใจที่จะทำสิ่งใดที่มองเห็นแล้วว่าสามารถทำได้แล้วก็จะต้องทำ สิ่งนั้นให้สำเร็จจนได้ แม้จะต้องประสบกับอุปสรรค์หรือปัญหาอย่างยิ่งก็ตาม โดยการที่เราทำสิ่งใด อย่างต่อเนื่องและมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้จิตเกิดพลังหรือสมาธิขึ้นมาได้ ซึ่งความมั่นคงนี้ก็คือจุดสูงสุดของความอดทน ความเพียร และความจริงใจ คือเราต้องทำด้วยความซื่อสัตย์หรือจริงใจอย่างอดทนและอย่างต่อเนื่อง จนประสบผลสำเร็จ จึงจะกลายเป็นความมั่นคงได้
(๙) มีความเป็นมิตร ซึ่งความเป็นมิตรนี้ ก็คือความไม่เป็นศัตรูกับใครๆ หรือไม่โกรธเกลียดใครๆ เมื่อไม่มีความโกรธเกลียดใครๆเราก็จะรักทุกคนอย่างเสมอหน้า แม้คนที่เรารักนั้นจะโกรธเกลียดเราก็ตาม และเมื่อมีความรักก็ย่อมที่จะมีความคิดที่จะช่วยเหลือทุกคนที่กำลังประสบกับ ความทุกข์ หรือความเดือดร้อนอยู่ให้หลุดพ้นจากความทุกข์และความเดือดร้อนเท่าที่จะ สามารถทำได้ อีกทั้งเมื่อเราไม่เป็นศัตรูกับใครๆ แม้ศัตรูก็ยังเคารพและจะกลายมาเป็นมิตรได้ ความเป็นมิตรนี้เองที่จะทำให้โลกมีสันติภาพได้ ส่วนการเป็นศัตรูกันหรือเอาชนะกัน ก็มีแต่จะสร้างวิกฤติและทำลายโลกได้ ซึ่งสิ่งที่จะทำลายมิตรภาพก็คือความเห็นแก่ตัว และมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น การฝึกให้เกิดมิตรภาพก็คือการฝึกให้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง
(๑๐) มีความใจเย็น ซึ่งความใจเย็นนี้ก็คือความที่มีใจสงบนิ่ง และเพ่งมอง โลกด้วยใจอันสงบ ไม่มีความยินดี-ยินร้ายใดๆ เมื่อต้องประสบกับปัญหาก็จะแก้ไขด้วยความใจเย็น ไม่รีบร้อนและเฉื่อยชา เมื่อต้องตัดสินใจ ก็จะตัดสินใจด้วยความยุติธรรม ไม่เอนเอียงเข้าข้างใครด้วยความรักหรือเกลียดก็ตาม ซึ่งผู้ที่มีความใจ เย็นนี้ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพนับถือมาก เหมาะที่จะเป็นผู้นำของสังคม การฝึกให้มีความใจเย็นนี้ก็ทำได้โดยการฝึกให้มีสมาธิมากๆควบคู่กับการฝึกให้ มีคุณธรรมอื่นๆด้วย โดยความใจเย็นนี้จะเป็นสุดยอดของคุณธรรม คือเมื่อเรามีคุณธรรมอื่นๆ พร้อมแล้วก็จะส่งเสริมให้เกิดความใจเย็นขึ้นมาโดยง่าย
คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้จัดว่าเป็นความดีสากล คือเป็นสิ่งดีงามที่มนุษย์ทุกคนยอมรับและใครๆก็ปฏิบัติได้ อีกทั้งยังเป็นแนวทางสู่สันติภาพของโลกอีกด้วย ถ้าโลกขาดคุณธรรมเหล่านี้ โลกก็จะมีแต่วิกฤติการณ์และจะพินาศ การสร้างโลกให้มีสันติภาพก็ต้องเริ่มจากการสร้างเด็กให้มีคุณธรรมหรือ ศีลธรรม จึงขอฝากให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้มาช่วยกันสร้างเด็กของเราให้เป็นผู้มี คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้ให้เพียงพอ เพื่อสันติภาพอันยั่งยืนของโลกกันต่อไป.
เตชะปัญโญ ภิกขุ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๒
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net – www.whatami.8m.com)
ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมอยากได้ความสุข ซึ่งปัจจุบันเรามักจะเข้าใจกันว่าทรัพย์คือสิ่งที่จะนำความสุขมาให้ ดัง นั้นเราจึงพยายามที่จะแสวงหาทรัพย์ให้ได้มากที่สุดและแม้การเลี้ยงลูกเราก็ จะพยายามเน้นที่จะอบรมหรือฝึกฝนให้ลูกเป็นคนที่หาเงินได้เก่ง โดยพยายามให้การศึกษาและการฝึกฝนอาชีพให้ได้เก่งกว่าใครๆ ซึ่งการคิดเช่น นี้ก็จะทำให้เราได้คนเก่งแต่ว่าขาดคุณธรรม ซึ่งเด็กที่เก่งโดยไม่มีคุณธรรมนั้นจะเป็นคนเห็นแก่ตัว คือทำอะไรๆก็เพื่อตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงคนอื่น ซึ่งความเห็นแก่ตัวนี้ก็จะทำให้เกิดความ โลภ คืออยากได้ของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง แล้วการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นทั้งอาจจะในทางที่ถูกและผิดก็จะตามมา อันจะทำให้ทั้งตัวเองก็เดือดร้อนและสังคมก็วุ่นวายอย่างที่กำลังเป็นอยู่ใน สังคมโลกปัจจุบัน
ตามหลักพุทธศาสนาแล้วการอบรม เด็กให้มีคุณธรรมจะเป็นเรื่องสำคัญกว่าการอบรมให้เด็กเก่ง คือถึงแม้จะมีการสอนเรื่องการศึกษาและอาชีพ แต่ก็มีเรื่องคุณธรรมสอนแทรกอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งคุณธรรมนี้จะช่วยให้เด็กเป็นคนดีและมีปัญญา (ปัญญาในที่นี้หมายถึงความเห็นแจ้งในชีวิต) ที่สำคัญเด็กที่มีคุณธรรมจะ ไม่เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ตัวน้อย เมื่อเห็นแก่ตัวน้อยก็จะเห็นแก่ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ซึ่งคุณธรรมนี้จะนำสันติสุขมาให้สังคมและนำสันติภาพมาให้โลกได้อย่างแน่ นอน ถ้าโลกขาดคุณธรรมโลกก็จะพินาศ ซึ่งคุณธรรมที่จะใช้อบรมเด็กนั้นตามหลักพุทธศาสนาจะสรุปไว้ ๑๐ ประการ อันได้แก่
(๑) เสียสละเพื่อผู้อื่น ซึ่งการเสียสละนี้ก็คือการรู้จักให้ หรือยอม (ให้อภัย) หรือแบ่งปัน หรือการสละสิ่งที่เกินออกไปจากตัวเรา คือตามธรรมชาติของคนเรานี้จะเห็นแก่ตัวและความเห็นแก่ตัวนี้ก็จะทำให้เกิด ความโลภหรืออยากได้สิ่งที่น่าพอใจ (อันได้แก่ สิ่งที่น่ารักน่าใคร่หรือเรื่องทางเพศ, วัตถุ, เกียรติยศชื่อเสียง) อันจะนำไปสู่การแสวงหา แย่งชิง และหวงแหนสิ่งเหล่านี้ แล้วความเดือดร้อนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะจากการแตกความสามัคคี จากอาชญากรรมต่างๆ จากสงคราม จากมลพิษ และจากภัยธรรมชาติ การฝึกให้รู้จักให้หรือเสียสละ เพื่อผู้อื่น ก็เท่ากับเป็นการลดความเดือดร้อนวุ่นวายที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคตด้วย โลกจะลุกเป็นไฟถ้าเราไม่รู้จักให้
(๒) มีศีล ซึ่งการมีศีลก็คือการระวังรักษากาย และวาจาของเราให้เรียบร้อยงดงาม โดยในทางปฏิบัติ ศีลก็คือการไม่เบียดเบียนชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม รวมทั้งการงดเว้นการพูดที่ไม่เหมาะสม อันได้แก่การพูดโกหก การพูดคำหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระ ถ้าใครมีศีลก็จะเป็นคนที่สงบและปกติ ถ้าสังคมมีศีล สังคมก็จะสงบสุขและมั่นคง ศีลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่าง ยิ่งถ้าต้องการให้สังคมสงบสุข
(๓) ไม่ลุ่มหลงในกามารมณ์ ซึ่งกามารมณ์นี้ก็คือเรื่องความรัก ความใคร่ หรือความพึงพอใจอย่างยิ่งในสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย (คือจากภาพที่สวยงาม เสียงที่ไพเราะ กลิ่นที่หอมหวน รสที่เอร็ดอร่อย และสัมผัสที่น่าพอใจทางกาย) โดยมีจากเพศตรงข้ามเป็นสิ่งสูงสุด โดยใครที่ติดใจลุ่ม หลงอยู่ในกามารมณ์นี้ก็จะทำให้จิตใจของเขามืดบอด หรือมองไม่เห็นโทษภัยจากกามารมณ์ว่ามันมีโทษภัยตามมามากมายเพียงใด อย่างเช่น โรคติดต่อทางเพศที่ร่ายแรง เช่น โรคเอดส์ เป็นต้น, ความเหนื่อยยากในการแสวงหา, ภาระที่เพิ่มขึ้น, ความวิตกกังวลเพราะกลัวว่าจะต้องสูญเสียไป, ความทุกข์ตรมเมื่อต้องสูญเสียไป, การฆ่ากันทำร้ายกัน, และการถูกลงโทษเมื่อกามารมณ์ผลักดันให้ต้องทำผิด เป็นต้น ดังนั้นการฝึกให้เอาชนะหรืออยู่เหนือกามารมณ์นี้ได้ ก็เท่ากับเป็นการเอาชนะหรืออยู่เหนือปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ได้ แล้วก็จะหลุดพ้นหรือมีอิสระที่จะเดินไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นและสูงขึ้นต่อไปได้
(๔) มีปัญญา ซึ่งปัญญานี้ก็หมายถึง ความรอบรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยสิ่งที่ควรรู้สูงสุดก็คือ รู้แจ้ง ชีวิต หรือเห็นแจ้งชีวิต (ส่วนความรู้อื่นๆ เช่น วิชาการต่างๆ อาชีพต่างๆ หรือความรู้เรื่องระบบต่างๆของร่างกาย หรือความรู้เรื่องธรรมชาติรอบๆตัว เป็นต้นนี้ จัดว่าเป็นความรู้รองๆลงมา ซึ่งตามปกติชาวโลกก็สอนกันอยู่แล้ว) ซึ่งปัญญานี้จะมีพื้นฐานมาจากการใช้เหตุผลในการศึกษาธรรมชาติที่เรา สามารถสัมผัสได้จริง และเชื่อในสิ่งที่เราได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น โดยสิ่งที่ศึกษาก็คือร่างกายและจิตใจของเราเองและธรรมชาติรอบๆตัวที่ควรรู้ ผู้ มีปัญญาย่อมเป็นคนฉลาดรอบรู้ มีเหตุมีผล ไม่โง่งมงาย สามารถดำเนินชีวิตให้ถูกต้องจนบรรลุถึงสิ่งสูงสุด (ความไม่มีทุกข์) ของชีวิตได้ ผู้ไร้ปัญญาย่อมมืดบอดและดำเนินชีวิตผิดพลาด จนทำให้ทั้งตัวเองและโลกพินาศได้
(๕) มีความอดทน ซึ่งความอดทนนี้หมายถึง การกระทำสิ่งที่สมควรกระทำ และไม่กระทำในสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ซึ่งที่สมควรกระทำนั้นก็คือสิ่งที่ทำแล้วจะเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวเองและ สังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อย่างเช่น การเรียน การทำงาน การช่วยเหลือผู้อื่น และการอบรมปัญญา-สมาธิ เป็นต้น ส่วนสิ่งที่ไม่สมควรทำนั้นก็คือสิ่งที่ทำไปแล้วจะทำให้เกิดปัญหาหรือเกิด ความทุกข์ความเดือดร้อน ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งความอดทนนี้ก็มี ทั้งความอดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้โกรธหรือไม่พอใจ และอดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้รักหรือพอใจ อย่างเช่น อดทนต่อคำด่า หรืออดทนต่อความร้อน ความหนาว และความเหนื่อยยาก เป็นต้น ที่มายั่วให้โกรธหรืออยากทำลาย และอดทนต่อความสนุกสนานเฮฮา ต่อความสวยงามน่ารักใคร่ ต่อความเอร็ดอร่อย ต่อความสุขสบาย ที่มายั่วให้รักหรืออยากได้ เป็นต้น ซึ่งความอดทนสูงสุดก็คือ อดทนต่อสิ่งที่มายั่วให้รักหรืออยากได้ที่จะนำปัญหามาให้ในภายหลัง ความอดทนจึงเป็นเครื่องกำจัดนิสัยเลวร้ายของจิตใจมนุษย์ที่ดีที่สุด
(๖) มีความพากเพียร ซึ่งความเพียรก็คือ ความขยันหรือความพยายามอดทนทำอย่างต่อเนื่อง คือการที่เราจะทำสิ่งใดให้บรรลุถึงเป้าหมายได้ เราต้องมีความเพียรมาช่วยจึงจะสำเร็จ ถ้าขาดความเพียรจะไม่มีทางสำเร็จ อย่างเช่น เด็กที่มีความพากเพียรในการเรียนก็จะเรียนจบและมีความรู้มาก หรือผู้ที่จะฝึกฝนสิ่งใดก็ต้องขยันฝึกอยู่เสมอๆไม่ละทิ้ง ก็ย่อมที่จะประสบผลสำเร็จได้ เป็นต้น ซึ่งความเพียรนี้เรียกอีกอย่างว่าเป็น ความกล้าหาญ เพราะ ไม่เกลงกลัวปัญหาที่ขวางหน้า แม้ปัญหานั้นจะใหญ่โตสักเพียงใดก็ตามก็สามารถเอาชนะปัญหานั้นได้โดยใช้ความ เพียร ส่วนศัตรูของความเพียรก็คือความเกียจคร้าน (ความไม่อดทนต่อความยากลำบาก) คือแม้จะเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย ถ้าเกียจคร้านก็เอาชนะปัญหานั้นไม่ได้
(๗) มีความจริงใจ ซึ่งความจริงใจนี้ก็คือความซื่อสัตย์ ซึ่งก็มีทั้งซื่อสัตย์ต่อตนเอง คือเป็นคนไม่เหลาะแหละโลเล และซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น คือเมื่อรับปากว่าจะทำสิ่งใดแล้วก็จะทำตามนั้นไม่บิดพลิ้วอย่างเด็ดขาด ซึ่ง คนที่มีความจริงใจเท่านั้นจึงจะได้พบกับความจริงสูงสุด (คือเห็นแจ้งชีวิต) รวมทั้งเป็นที่รักและเคารพของคนที่รู้จัก ส่วนคนที่ไม่มีความจริงใจก็จะไม่พบความจริงสูงสูดและไม่มีใครรักเคารพ
(๘) มีความมั่นคง ซึ่งความมั่นคงนี้ก็ คือความตั้งใจมั่นไม่เปลี่ยนแปลง คือเมื่อเราตั้งใจที่จะทำสิ่งใดที่มองเห็นแล้วว่าสามารถทำได้แล้วก็จะต้องทำ สิ่งนั้นให้สำเร็จจนได้ แม้จะต้องประสบกับอุปสรรค์หรือปัญหาอย่างยิ่งก็ตาม โดยการที่เราทำสิ่งใด อย่างต่อเนื่องและมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะทำให้จิตเกิดพลังหรือสมาธิขึ้นมาได้ ซึ่งความมั่นคงนี้ก็คือจุดสูงสุดของความอดทน ความเพียร และความจริงใจ คือเราต้องทำด้วยความซื่อสัตย์หรือจริงใจอย่างอดทนและอย่างต่อเนื่อง จนประสบผลสำเร็จ จึงจะกลายเป็นความมั่นคงได้
(๙) มีความเป็นมิตร ซึ่งความเป็นมิตรนี้ ก็คือความไม่เป็นศัตรูกับใครๆ หรือไม่โกรธเกลียดใครๆ เมื่อไม่มีความโกรธเกลียดใครๆเราก็จะรักทุกคนอย่างเสมอหน้า แม้คนที่เรารักนั้นจะโกรธเกลียดเราก็ตาม และเมื่อมีความรักก็ย่อมที่จะมีความคิดที่จะช่วยเหลือทุกคนที่กำลังประสบกับ ความทุกข์ หรือความเดือดร้อนอยู่ให้หลุดพ้นจากความทุกข์และความเดือดร้อนเท่าที่จะ สามารถทำได้ อีกทั้งเมื่อเราไม่เป็นศัตรูกับใครๆ แม้ศัตรูก็ยังเคารพและจะกลายมาเป็นมิตรได้ ความเป็นมิตรนี้เองที่จะทำให้โลกมีสันติภาพได้ ส่วนการเป็นศัตรูกันหรือเอาชนะกัน ก็มีแต่จะสร้างวิกฤติและทำลายโลกได้ ซึ่งสิ่งที่จะทำลายมิตรภาพก็คือความเห็นแก่ตัว และมุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น การฝึกให้เกิดมิตรภาพก็คือการฝึกให้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง
(๑๐) มีความใจเย็น ซึ่งความใจเย็นนี้ก็คือความที่มีใจสงบนิ่ง และเพ่งมอง โลกด้วยใจอันสงบ ไม่มีความยินดี-ยินร้ายใดๆ เมื่อต้องประสบกับปัญหาก็จะแก้ไขด้วยความใจเย็น ไม่รีบร้อนและเฉื่อยชา เมื่อต้องตัดสินใจ ก็จะตัดสินใจด้วยความยุติธรรม ไม่เอนเอียงเข้าข้างใครด้วยความรักหรือเกลียดก็ตาม ซึ่งผู้ที่มีความใจ เย็นนี้ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคนเคารพนับถือมาก เหมาะที่จะเป็นผู้นำของสังคม การฝึกให้มีความใจเย็นนี้ก็ทำได้โดยการฝึกให้มีสมาธิมากๆควบคู่กับการฝึกให้ มีคุณธรรมอื่นๆด้วย โดยความใจเย็นนี้จะเป็นสุดยอดของคุณธรรม คือเมื่อเรามีคุณธรรมอื่นๆ พร้อมแล้วก็จะส่งเสริมให้เกิดความใจเย็นขึ้นมาโดยง่าย
คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้จัดว่าเป็นความดีสากล คือเป็นสิ่งดีงามที่มนุษย์ทุกคนยอมรับและใครๆก็ปฏิบัติได้ อีกทั้งยังเป็นแนวทางสู่สันติภาพของโลกอีกด้วย ถ้าโลกขาดคุณธรรมเหล่านี้ โลกก็จะมีแต่วิกฤติการณ์และจะพินาศ การสร้างโลกให้มีสันติภาพก็ต้องเริ่มจากการสร้างเด็กให้มีคุณธรรมหรือ ศีลธรรม จึงขอฝากให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้มาช่วยกันสร้างเด็กของเราให้เป็นผู้มี คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้ให้เพียงพอ เพื่อสันติภาพอันยั่งยืนของโลกกันต่อไป.
เตชะปัญโญ ภิกขุ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๒
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net – www.whatami.8m.com)
*** 12 วิธี เลี้ยงลูกให้ดี-อีคิวสูง
*** 12 วิธี เลี้ยงลูกให้ดี-อีคิวสูง
1. ให้ความรัก เป็นข้อแรกที่สำคัญมาก และไม่เพียงแต่ให้ความรักเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมอีกด้วย บางคนรักลูกแต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นเลย กระนั้น การยิ้มให้ การสัมผัส การกอด โอบไหล่ ล้วนแล้วแต่เป็นภาษากายที่บ่งบอกถึงความรักของพ่อแม่ ต่อลูกได้เป็นอย่างดี
2. ครอบครัวมีสุข การที่คุณพ่อ คุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมถึงมีทัศนคติ ความคิดเห็นในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน หรือถ้ามีความขัดแย้งบ้าง ก็ควรมีการพูดคุย ตกลงกันให้เป็นทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ดี คุณหมอ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ขัดแย้งกันเองในการวางกฎเกณฑ์ โดยครอบครัวหนึ่ง มีลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบ ร้องไห้เพราะอยากเล่นลิปสติกของแม่ กับเรื่องนี้ คุณผู้หญิงทั้งหลายคงทราบดีว่า ที่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกเล่น เพราะลิปสติกจะหักเสียหายได้ แต่หากเวลาอยู่กับพ่อ พ่ออนุญาตให้ลูกเล่นได้ หรือพ่อเห็นลูกร้องไห้ ก็ต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกว่า "เรื่องแค่นี้เอง ก็ให้ลูกเล่นไปสิ" ส่งผลให้เด็กสับสน ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ว่า เรื่องนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรตกลงกันด้วยเหตุผลให้เรียบร้อยก ่อน จะได้ควบคุมเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกันได้
3. รู้-เข้าใจพัฒนาการของลูก จะทำให้เข้าใจ และปฏิบัติตัวต่อลูกได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ซึ่งพัฒนาการไม่ได้หยุด หรือหมดไปเมื่อพ้นวัยอนุบาล แต่จะต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นก็มีพัฒนาการของวัย และสำคัญมากด้วย แต่ส่วนใหญ่ คุณพ่อคุณแม่หลายคนปฏิบัติต่อลูกที่เข้าช่วงวัยรุ่นแ บบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะคิดว่าลูกมีพัฒนาการเหมือน 2-3 ปีก่อน
ขอบคุณภาพจาก www.zastavki.com
ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อ คุณแม่บางคนอยากรู้เรื่องของลูกก็ใช้วิธีแอบฟังโทรศั พท์เวลาลูกคุยกับเพื่อน แอบเปิดค้นกระเป๋า แอบดูไดอารี่ สมุดบันทึกของลูก เกือบร้อยทั้งร้อย เมื่อลูกรู้ คงต้องโกรธเป็นอย่างมาก เพราะไปกระทบกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่สำคัญ นั่นคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรมีความรู้ และความเข้าใจพัฒนาการของลูกด้วย จะช่วยให้ปฏิบัติต่อลูกได้อย่างเหมาะสม
4. พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกให้มากที่สุด ถ้าพ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่ อย่างน้อย ตกกลางคืน ก็ควรให้เวลากับลูกบ้าง เพราะจะได้มีประสบการณ์ และได้รับรู้ความรู้สึกของการตื่นขึ้นมาให้นมลูก เวลาลูกร้องหิวตอนกลางคืน หรือได้โอบกอด และปลอบให้ลูกหลับต่อ นั่นจะยิ่งทำให้พ่อแม่รัก และเข้าใจในตัวลูกมากขึ้น
5. ส่งเสริมให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เมื่อลูกทำดี หรือประสบความสำเร็จ คุณพ่อคุณแม่ต้องชม เมื่อลูกท้อแท้ ก็ควรให้กำลังใจ ซึ่งบางคนบอกว่า ชมมากเดี๋ยวลูกจะเหลิง แต่การชมไม่ให้เหลิง คือการชมอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล นั่นจะช่วยให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตัวเอง เป็นเรื่องที่มีค่าต่อความรู้สึกของลูกมาก
6. ให้อิสระ-โอกาสในการตัดสินใจ จะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าทำ ไม่พยายามบังคับความคิดลูก (ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องของกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย)
7. สอนลูกให้รักตัวเอง-รักคนอื่น พ่อแม่สอนลูกให้รู้สึกเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ผู้อื่นด้วย เช่น พาลูกไปให้ของเด็กพิการ ตามสถานสงเคราะห์ หรือให้ผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา
8. ให้ลูกรู้จักคิดเป็นเหตุ-เป็นผล โดยส่งเสริมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำว ัน และเรื่องสำคัญๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกอยากจะซื้อของเล่น ของใช้ที่แพงๆ หรือเป็นของที่มีอยู่แล้วก็สอนให้ลูกรู้จักใช้หลักกา รและเหตุผลว่าควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ เพราะอะไร เป็นต้น
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
9. สอนลูกรู้จักหาความสุขให้ตัวเอง ข้อนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะเด็กหลายคนที่เก่ง ประสบความสำเร็จในการเรียน กีฬา แต่ไม่มีความสุข เนื่องจากเครียดอยู่ตลอดเวลาในการที่จะรักษาความเก่ง ของตัวเองไว้ให้ได้ตลอดไป หรือให้เก่งมากขึ้นเพื่อเอาชนะคนอื่น
10. เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ เป็นตัวอย่างให้ลูกทำสิ่งดีๆ แล้วลูกจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ในแบบที่ไม่ต้องพูด หรือสอนเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือนิสัยรักการอ่าน ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เช่น เวลาอยู่บ้านว่างๆ ก็จะหยิบหนังสือมาอ่าน ชอบที่จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง พูดคุยกับลูกถึงเรื่องในหนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ก็มักจะแวะเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ แบบนี้ลูกก็มักจะติดนิสัยรักการอ่านหนังสือไปโดยไม่ร ู้ตัว
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การฝึกให้ลูกรู้จัก ช่วยเหลือตัวเอง และรับผิดชอบ เช่นหลังกินข้าวเสร็จ ถึงแม้ว่าจะมีคนงานที่บ้าน ก็ควรให้ลูกยกจานที่ทานเสร็จ ช่วยเขี่ยเศษอาหารใส่ถังขยะ แล้ววางบนอ่างล้างจานในบ้าน (ให้คนงานล้างต่อไป) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรทำเป็นตัวอย่าง ลูกเห็นก็อยากทำตาม แล้วยังสอนการมีน้ำใจต่อคนงานอีกด้วย ท่านผู้อ่านลองนึกภาพนะครับว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ทำเป็นตัวอย่าง กินตรงไหนเสร็จแล้วก็ลุกออกไป ให้คนงานมาตามคอยเก็บ แต่สั่งให้ลูกทำลูกจะคิดอย่างไร
11. กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยในบ้านต้องพอดี กับเรื่องนี้ พบว่าเด็กที่ E.Q. ดี มักอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก ความเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็สอนให้รู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร และควบคุมเรื่องของกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยในลักษณะทางสา ยกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ควบคุมมากเกินไป หรือน้อยเกินไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และมีรายละเอียดมาก
12. ระบบการศึกษาก็มีส่วนเอี่ยวกับอีคิว คง เคยได้ยินคำพูดที่ว่าการศึกษาสร้างคน ดังนั้น การศึกษาย่อมส่งผลต่อ E.Q. ของลูกด้วย ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรทำความเข้าใจกับระบบการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ของเด็กด้วย
เห็นได้ว่า ทุกวันนี้ พ่อแม่จะให้ลูกฉลาดอย่างเดียว คงไม่พอ แต่ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกา รดำเนินชีวิตด้วย เพื่อที่เด็กจะได้มีพื้นฐานในการปรับตัวให้เข้ากับสั งคมได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเข้าใจตัวเอง และคนอื่นได้เป็นอย่างดี
/// ข้อมูลประกอบข่าว ///
E.Q. ย่อมาจาก Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คนที่มีอีคิวดี คือ คนที่รู้จักและเข้าใจอารมณ์ตัวเองได้ รู้จักแยกแยะควบคุมอารมณ์ได้ และสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะและปรั บตัวให้เข้ากับสังคมอย่างเหมาะสม ช่วงไม่กี่ปีมานี้ กระแสอีคิวกำลังมาแรง อาจเป็นด้วยว่าภาพสะท้อนของผู้คนในสังคมเริ่มเปลี่ยน แปลง เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม ระบบของอีคิวจะเริ่มเสีย รัฐจึงควรหาปัจจัยเกื้อหนุนส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจให ้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าระยะ 10 ปีที่ผ่านมาสุขภาพจิตของคนเราเสื่อมลงมาก มีปริมาณคนไข้ทางจิตสูงขึ้น
1. ให้ความรัก เป็นข้อแรกที่สำคัญมาก และไม่เพียงแต่ให้ความรักเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมอีกด้วย บางคนรักลูกแต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นเลย กระนั้น การยิ้มให้ การสัมผัส การกอด โอบไหล่ ล้วนแล้วแต่เป็นภาษากายที่บ่งบอกถึงความรักของพ่อแม่ ต่อลูกได้เป็นอย่างดี
2. ครอบครัวมีสุข การที่คุณพ่อ คุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมถึงมีทัศนคติ ความคิดเห็นในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน หรือถ้ามีความขัดแย้งบ้าง ก็ควรมีการพูดคุย ตกลงกันให้เป็นทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ดี คุณหมอ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ขัดแย้งกันเองในการวางกฎเกณฑ์ โดยครอบครัวหนึ่ง มีลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบ ร้องไห้เพราะอยากเล่นลิปสติกของแม่ กับเรื่องนี้ คุณผู้หญิงทั้งหลายคงทราบดีว่า ที่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกเล่น เพราะลิปสติกจะหักเสียหายได้ แต่หากเวลาอยู่กับพ่อ พ่ออนุญาตให้ลูกเล่นได้ หรือพ่อเห็นลูกร้องไห้ ก็ต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกว่า "เรื่องแค่นี้เอง ก็ให้ลูกเล่นไปสิ" ส่งผลให้เด็กสับสน ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ว่า เรื่องนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรตกลงกันด้วยเหตุผลให้เรียบร้อยก ่อน จะได้ควบคุมเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกันได้
3. รู้-เข้าใจพัฒนาการของลูก จะทำให้เข้าใจ และปฏิบัติตัวต่อลูกได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ซึ่งพัฒนาการไม่ได้หยุด หรือหมดไปเมื่อพ้นวัยอนุบาล แต่จะต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นก็มีพัฒนาการของวัย และสำคัญมากด้วย แต่ส่วนใหญ่ คุณพ่อคุณแม่หลายคนปฏิบัติต่อลูกที่เข้าช่วงวัยรุ่นแ บบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะคิดว่าลูกมีพัฒนาการเหมือน 2-3 ปีก่อน
ขอบคุณภาพจาก www.zastavki.com
ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อ คุณแม่บางคนอยากรู้เรื่องของลูกก็ใช้วิธีแอบฟังโทรศั พท์เวลาลูกคุยกับเพื่อน แอบเปิดค้นกระเป๋า แอบดูไดอารี่ สมุดบันทึกของลูก เกือบร้อยทั้งร้อย เมื่อลูกรู้ คงต้องโกรธเป็นอย่างมาก เพราะไปกระทบกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่สำคัญ นั่นคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรมีความรู้ และความเข้าใจพัฒนาการของลูกด้วย จะช่วยให้ปฏิบัติต่อลูกได้อย่างเหมาะสม
4. พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกให้มากที่สุด ถ้าพ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่ อย่างน้อย ตกกลางคืน ก็ควรให้เวลากับลูกบ้าง เพราะจะได้มีประสบการณ์ และได้รับรู้ความรู้สึกของการตื่นขึ้นมาให้นมลูก เวลาลูกร้องหิวตอนกลางคืน หรือได้โอบกอด และปลอบให้ลูกหลับต่อ นั่นจะยิ่งทำให้พ่อแม่รัก และเข้าใจในตัวลูกมากขึ้น
5. ส่งเสริมให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เมื่อลูกทำดี หรือประสบความสำเร็จ คุณพ่อคุณแม่ต้องชม เมื่อลูกท้อแท้ ก็ควรให้กำลังใจ ซึ่งบางคนบอกว่า ชมมากเดี๋ยวลูกจะเหลิง แต่การชมไม่ให้เหลิง คือการชมอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล นั่นจะช่วยให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตัวเอง เป็นเรื่องที่มีค่าต่อความรู้สึกของลูกมาก
6. ให้อิสระ-โอกาสในการตัดสินใจ จะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าทำ ไม่พยายามบังคับความคิดลูก (ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องของกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย)
7. สอนลูกให้รักตัวเอง-รักคนอื่น พ่อแม่สอนลูกให้รู้สึกเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ผู้อื่นด้วย เช่น พาลูกไปให้ของเด็กพิการ ตามสถานสงเคราะห์ หรือให้ผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา
8. ให้ลูกรู้จักคิดเป็นเหตุ-เป็นผล โดยส่งเสริมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำว ัน และเรื่องสำคัญๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกอยากจะซื้อของเล่น ของใช้ที่แพงๆ หรือเป็นของที่มีอยู่แล้วก็สอนให้ลูกรู้จักใช้หลักกา รและเหตุผลว่าควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ เพราะอะไร เป็นต้น
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
9. สอนลูกรู้จักหาความสุขให้ตัวเอง ข้อนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะเด็กหลายคนที่เก่ง ประสบความสำเร็จในการเรียน กีฬา แต่ไม่มีความสุข เนื่องจากเครียดอยู่ตลอดเวลาในการที่จะรักษาความเก่ง ของตัวเองไว้ให้ได้ตลอดไป หรือให้เก่งมากขึ้นเพื่อเอาชนะคนอื่น
10. เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ เป็นตัวอย่างให้ลูกทำสิ่งดีๆ แล้วลูกจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ในแบบที่ไม่ต้องพูด หรือสอนเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือนิสัยรักการอ่าน ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เช่น เวลาอยู่บ้านว่างๆ ก็จะหยิบหนังสือมาอ่าน ชอบที่จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง พูดคุยกับลูกถึงเรื่องในหนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ก็มักจะแวะเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ แบบนี้ลูกก็มักจะติดนิสัยรักการอ่านหนังสือไปโดยไม่ร ู้ตัว
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การฝึกให้ลูกรู้จัก ช่วยเหลือตัวเอง และรับผิดชอบ เช่นหลังกินข้าวเสร็จ ถึงแม้ว่าจะมีคนงานที่บ้าน ก็ควรให้ลูกยกจานที่ทานเสร็จ ช่วยเขี่ยเศษอาหารใส่ถังขยะ แล้ววางบนอ่างล้างจานในบ้าน (ให้คนงานล้างต่อไป) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรทำเป็นตัวอย่าง ลูกเห็นก็อยากทำตาม แล้วยังสอนการมีน้ำใจต่อคนงานอีกด้วย ท่านผู้อ่านลองนึกภาพนะครับว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ทำเป็นตัวอย่าง กินตรงไหนเสร็จแล้วก็ลุกออกไป ให้คนงานมาตามคอยเก็บ แต่สั่งให้ลูกทำลูกจะคิดอย่างไร
11. กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยในบ้านต้องพอดี กับเรื่องนี้ พบว่าเด็กที่ E.Q. ดี มักอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก ความเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็สอนให้รู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร และควบคุมเรื่องของกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยในลักษณะทางสา ยกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ควบคุมมากเกินไป หรือน้อยเกินไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และมีรายละเอียดมาก
12. ระบบการศึกษาก็มีส่วนเอี่ยวกับอีคิว คง เคยได้ยินคำพูดที่ว่าการศึกษาสร้างคน ดังนั้น การศึกษาย่อมส่งผลต่อ E.Q. ของลูกด้วย ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรทำความเข้าใจกับระบบการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ของเด็กด้วย
เห็นได้ว่า ทุกวันนี้ พ่อแม่จะให้ลูกฉลาดอย่างเดียว คงไม่พอ แต่ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกา รดำเนินชีวิตด้วย เพื่อที่เด็กจะได้มีพื้นฐานในการปรับตัวให้เข้ากับสั งคมได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเข้าใจตัวเอง และคนอื่นได้เป็นอย่างดี
/// ข้อมูลประกอบข่าว ///
E.Q. ย่อมาจาก Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คนที่มีอีคิวดี คือ คนที่รู้จักและเข้าใจอารมณ์ตัวเองได้ รู้จักแยกแยะควบคุมอารมณ์ได้ และสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะและปรั บตัวให้เข้ากับสังคมอย่างเหมาะสม ช่วงไม่กี่ปีมานี้ กระแสอีคิวกำลังมาแรง อาจเป็นด้วยว่าภาพสะท้อนของผู้คนในสังคมเริ่มเปลี่ยน แปลง เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม ระบบของอีคิวจะเริ่มเสีย รัฐจึงควรหาปัจจัยเกื้อหนุนส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจให ้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าระยะ 10 ปีที่ผ่านมาสุขภาพจิตของคนเราเสื่อมลงมาก มีปริมาณคนไข้ทางจิตสูงขึ้น
วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553
การ ให้วัคซีนสำหรับเด็ก ... คู่มือกำหนดการให้วัคซีน จากกระทรวงสาธารณสุข
การ ให้วัคซีนสำหรับเด็ก ... คู่มือกำหนดการให้วัคซีน จากกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่อาจจะยังงงๆ เกี่ยวกับเรื่องการให้วัคซีนต่างๆ ในปัจจุบัน ซึ่งมีหลายขนานกว่าเมื่อก่อน ก็เลยอาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่าให้อะไรบ้าง ต้องให้เมื่อไร แล้วแต่ละอย่าต้องให้กี่ครั้ง ผมก็เลยอยากแนะนำให้ลองเข้าไป download คู่มือนี้จากทางกระทรวงสาธารณาสุขมาอ่านดูนะครับ น่าจะช่วยได้มากที่เดียว
http://thaigcd.ddc.moph.go.th/download/EPI/EPI_Table_Poster.pdf
หมายเหตุ
BCG = vaccine สำหรับโรควัณโรค (80% effective) -> http://en.wikipedia.org/wiki/Bacillus_Calmette-Gu%C3%A9rin
HB = vaccine สำหรับโรคตับอักเสบ ชนิดบี (95% effective) -> http://www.who.int/vaccines/en/hepatitisb.shtml
DTwP = vaccine สำหรับโรคคอตีบ + บาดทะยัก + ไอกรน (80%-85% effective) -> http://pediatrics.aappublications.org/cgi/content/full/99/2/282
OPV = vaccine สำหรับโรคโปลิโอ (99.99% effective) -> http://www.who.int/entity/biologicals/areas/vaccines/polio/opv/en/index.html
MMR = vaccine สำหรับโรคหัด + คางทูม + หัดเยอรมัน (95% effective) -> http://www.immunizationinfo.org/vaccineinfo/vaccine_detail.cfv?id=8
JE = vaccine สำหรับโรคไข้สมองอักเสบชนิดเจอี (ยังไม่มีข้อมูลยืนยันด้าน effectiveness ครับ)
หวังว่าคงทำให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเข้าใจเรื่องการ ให้วัคซีนแก่บุตรหลานของตนมากขึ้นนะครับ ขอให้ท่านและบุตรหลานสุขภาพแข็งแรงกันทุกคนครับ
โดย ITWichien
สำหรับ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่อาจจะยังงงๆ เกี่ยวกับเรื่องการให้วัคซีนต่างๆ ในปัจจุบัน ซึ่งมีหลายขนานกว่าเมื่อก่อน ก็เลยอาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่าให้อะไรบ้าง ต้องให้เมื่อไร แล้วแต่ละอย่าต้องให้กี่ครั้ง ผมก็เลยอยากแนะนำให้ลองเข้าไป download คู่มือนี้จากทางกระทรวงสาธารณาสุขมาอ่านดูนะครับ น่าจะช่วยได้มากที่เดียว
http://thaigcd.ddc.moph.go.th/download/EPI/EPI_Table_Poster.pdf
หมายเหตุ
BCG = vaccine สำหรับโรควัณโรค (80% effective) -> http://en.wikipedia.org/wiki/Bacillus_Calmette-Gu%C3%A9rin
HB = vaccine สำหรับโรคตับอักเสบ ชนิดบี (95% effective) -> http://www.who.int/vaccines/en/hepatitisb.shtml
DTwP = vaccine สำหรับโรคคอตีบ + บาดทะยัก + ไอกรน (80%-85% effective) -> http://pediatrics.aappublications.org/cgi/content/full/99/2/282
OPV = vaccine สำหรับโรคโปลิโอ (99.99% effective) -> http://www.who.int/entity/biologicals/areas/vaccines/polio/opv/en/index.html
MMR = vaccine สำหรับโรคหัด + คางทูม + หัดเยอรมัน (95% effective) -> http://www.immunizationinfo.org/vaccineinfo/vaccine_detail.cfv?id=8
JE = vaccine สำหรับโรคไข้สมองอักเสบชนิดเจอี (ยังไม่มีข้อมูลยืนยันด้าน effectiveness ครับ)
หวังว่าคงทำให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายเข้าใจเรื่องการ ให้วัคซีนแก่บุตรหลานของตนมากขึ้นนะครับ ขอให้ท่านและบุตรหลานสุขภาพแข็งแรงกันทุกคนครับ
โดย ITWichien
วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553
1.3ข้อควรปฎิบัติและไม่ควรปฎิบัติในการเลี้ยงดูเด็กทารก(แรกเกิด–1ปี)
พฤติกรรมที่ควรทำ
- อุ้มเด็กพาดบ่าหลังดื่มนมทุกครั้ง ผลดีคือ - เด็กท้องไม่อืด
- อุ้ม กอด จูบ เด็กทุกครั้งด้วยสัมผัสที่นุ่มนวน อบอุ่น มั่นคง ไม่รัดแน่นจนเด็กอึดอัด - เด็กมีความสุข อบอุ่น มั่นใจและสบายใจ
- อุ้มเด็ก หยอกล้อ ให้เวลาพูดคุย ให้เล่นของเล่นที่ ปลอดภัย หยอกล้อ ให้เวลาพูดคุย - ทำให้เด็กสนใจมองสิ่งแวดล้อม
ให้เล่นของเล่น ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับเด็ก กระตุ้นการเรียนรู้ ของเด็ก
เด็กสนใจภาษา รู้วิธีสื่อความหมาย
- เปลี่ยนเกม/ของเล่นชิ้นใหม่เมื่อเด็กเบื่อแล้ว (ของ เล่นชิ้นใหม่อาจเป็นของใช้ภายในบ้าน - เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งของ คน
ที่เหมาะสมกับวัยสะอาด ปลอดภัย) และสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น
- พ่อแม่และบุคคในครอบครัวช่วยเลี้ยงดูและ เล่นกับเด็ก - เด็กมีความสุขสนุกสนาน
เพลิดเพลิน และ เป็นการ เรียนรู้
ความรู้สึก/พฤติกรรมของพ่อแม่ และ
บุคคล ในครอบครัว
- เด็กมีความใกล้ชิดและผูกพันกับพ่อแม่
- เด็กได้รับความรัก ความสนใจจากบุคคลใน ครอบครัว
- อุ้มเด็กพาดบ่าหลังดื่มนมทุกครั้ง ผลดีคือ - เด็กท้องไม่อืด
- อุ้ม กอด จูบ เด็กทุกครั้งด้วยสัมผัสที่นุ่มนวน อบอุ่น มั่นคง ไม่รัดแน่นจนเด็กอึดอัด - เด็กมีความสุข อบอุ่น มั่นใจและสบายใจ
- อุ้มเด็ก หยอกล้อ ให้เวลาพูดคุย ให้เล่นของเล่นที่ ปลอดภัย หยอกล้อ ให้เวลาพูดคุย - ทำให้เด็กสนใจมองสิ่งแวดล้อม
ให้เล่นของเล่น ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับเด็ก กระตุ้นการเรียนรู้ ของเด็ก
เด็กสนใจภาษา รู้วิธีสื่อความหมาย
- เปลี่ยนเกม/ของเล่นชิ้นใหม่เมื่อเด็กเบื่อแล้ว (ของ เล่นชิ้นใหม่อาจเป็นของใช้ภายในบ้าน - เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งของ คน
ที่เหมาะสมกับวัยสะอาด ปลอดภัย) และสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น
- พ่อแม่และบุคคในครอบครัวช่วยเลี้ยงดูและ เล่นกับเด็ก - เด็กมีความสุขสนุกสนาน
เพลิดเพลิน และ เป็นการ เรียนรู้
ความรู้สึก/พฤติกรรมของพ่อแม่ และ
บุคคล ในครอบครัว
- เด็กมีความใกล้ชิดและผูกพันกับพ่อแม่
- เด็กได้รับความรัก ความสนใจจากบุคคลใน ครอบครัว
เรื่องที่ 1.2 ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก(แรกเกิด–1ปี)
เรื่องที่ 1.2 ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก(แรกเกิด–1ปี)
ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก
1. ถ่ายเหลว
2. ลิ้นเป็นฝ้า
3. ถุงลิง
4. อาเจียน
5. ท้องผูก
ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก
1. ถ่ายเหลว
2. ลิ้นเป็นฝ้า
3. ถุงลิง
4. อาเจียน
5. ท้องผูก
1.1พัฒนาการด้านต่างๆและคุณลักษณะตามวัยของเด็กทารก(แรกเกิด–1ปี)
เด็กคือทรัพยากรที่มีคุณค่าเป็นความหวังของชุมชนและประเทศชาติ เด็กทุกคนจึงจำเป็นทีจะต้องได้ รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างถูกต้องและ เหมาะสม เพื่อให้เด็กมีพัฒนากรทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและ สติปัญญา มีคุณธรรมและบุคลิกภาพที่เหมาะสมตามวัย
การเลี้ยงดูเด็กในวัยทารกนี้จะมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการตาม วัยของเด็ก ทุกด้าน เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึง มักใช้การร้องไห้เพื่อแสดงความต้องการ ซึ่งผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องเข้าใจ และตอบสนองให้ถูกต้อง จึงจะทำให้เด็กมีความสุขและสามารถเรียนรู้ สิ่งต่างๆ ได้ดีดังนี้
1. การเจริญเติบโต
2. พัฒนาการด้านร่างกาย
3. พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม
การเลี้ยงดูเด็กในวัยทารกนี้จะมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการตาม วัยของเด็ก ทุกด้าน เนื่องจากเด็กยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึง มักใช้การร้องไห้เพื่อแสดงความต้องการ ซึ่งผู้เลี้ยงดูเด็กจะต้องเข้าใจ และตอบสนองให้ถูกต้อง จึงจะทำให้เด็กมีความสุขและสามารถเรียนรู้ สิ่งต่างๆ ได้ดีดังนี้
1. การเจริญเติบโต
2. พัฒนาการด้านร่างกาย
3. พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม
พัฒนาการและจิตวิทยาเด็กทารก (แรกเกิด-1ปี)
เรื่องที่
1.1 พัฒนาการด้านต่างๆและคุณลักษณะตามวัยของเด็กทารก
1.2 ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก
1.3 ข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติในการเลี้ยงดูเด็กทารก
แนวคิด
เด็ก วัยแรกเกิดจนถึง 1 ปี เป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตด้านร่างกายและมีการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ มากมาย เด็กทารกต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างจากครรภ์ ของแม่ เรียนรู้การกินอาหาร และเรียนรู้ทักษะทางสังคมในการติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่แวดล้อมตัวเด็ก พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของทารกจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเติบโตและมีพัฒนาการที่เหมาะสมในช่วงวัยต่อ ไป
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. บอกลักษณะเด่นของทารกตั้งแต่แรกเกิดถึง 1ปีได้
2. บอกขั้นตอนสำคัญของพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และลักษณะการเรียนรู้ของทารกได้
3. อธิบายผลกระทบที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของทารกได้
1.1 พัฒนาการด้านต่างๆและคุณลักษณะตามวัยของเด็กทารก
1.2 ปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทารก
1.3 ข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติในการเลี้ยงดูเด็กทารก
แนวคิด
เด็ก วัยแรกเกิดจนถึง 1 ปี เป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตด้านร่างกายและมีการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ มากมาย เด็กทารกต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่แตกต่างจากครรภ์ ของแม่ เรียนรู้การกินอาหาร และเรียนรู้ทักษะทางสังคมในการติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่แวดล้อมตัวเด็ก พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของทารกจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการเติบโตและมีพัฒนาการที่เหมาะสมในช่วงวัยต่อ ไป
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาตอนที่ 1 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. บอกลักษณะเด่นของทารกตั้งแต่แรกเกิดถึง 1ปีได้
2. บอกขั้นตอนสำคัญของพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และลักษณะการเรียนรู้ของทารกได้
3. อธิบายผลกระทบที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของทารกได้
วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานได้อย่างไร
วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานได้อย่างไร
วิธีที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานมีเพียงวิธีเดียวคือการเจาะหาน้ำตาลในเลือด สำหรับคนปกติแนะนำให้คนที่มีอายุมากกว่า 45 ปีควรจะเจาะเลือดทุกปีถ้าหากปกติก็ให้เจาะทุก 3 ปี หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงก็ควรที่เจาะเร็วขึ้นและบ่อยขึ้น คนปกติจะมีค่าน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่า 80-100 มิลิกรัม% การวินิจฉัยโรคเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 มิลิกรัม% สำหรับผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระ 100-125 มิลิกรัม%เราเรียก Impaired fasing glucose [IFG] คน กลุ่มนี้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องคุมอาการ รักษาน้ำหนัก ออกกำลังกาย สำหรับการตรวจปัสสาวะไม่แนะนำเพราะเราจะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะเมื่อระดับ น้ำตาลในเลือดมากกว่า 180 มิลิกรัม%ซึ่งเป็นเบาหวานไปเรียบร้อยแล้ว
การตรวจเลือดเราสามารถตรวจได้หลายวิธีดังนี้
1.
การวัดระดับกลูโคสในพลาสม่าหลังการอดอาหารอย่างน้อย8ชั่วโมง [fasting plasma glucose :FPG] แนะนำให้ใช้วิธีซึ่งสะดวกและแม่นยำ ให้การวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือด [FPG] สูงกว่า 126มก.%[7.0 mmol/L] สองครั้ง
2.
การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส [ oral glucose tolerance test:OGTT] กรณีสงสัยว่าจะเป็นเบาหวาน แต่ระดับพลาสม่ากลูโคสก่อนรับประทานอาหารไมถึง 126 มก.% ให้ตรวจโดยการดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม เจาะเลือดก่อนดื่ม และ 2 ชั่วโมงหลังดื่ม วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับพลาสม่ากลูโคสที่ 2 ชั่วโมงตั้ง 200 มก.%ขึ้นไป หากอยู่ระหว่า 140-199มก.%ถือว่าความทนทานต่อน้ำตาลบกพร่อง ( impaired glucose tolerance test) หากต่ำกว่า 140 มก%ถือว่าปกติ
3.
การสุ่มวัดระดับกลูโคสในพลาสมา [random plasma glucose:RPG] โดยไม่กำหนดเวลาอดอาหาร ใช้ค่ามากกว่า 200 มก.%และมีอาการของโรคเบาหวาน เนื่องจากมีความแม่นยำต่ำจึงไม่นิยมหาก หากพบว่าค่ามากกว่า 200 มิลิกรัม%จะต้องนัดมาเจาะน้ำตาลก่อนอาหาร หรือทำการตรวจ การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส OGTT อาจจะตรวจในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคเบาหวานมากจำเป็นต้องรีบให้การรักษา
4.
การใช้ระดับโปรตีนกลัยโคซัยเลต ได้แก่ glycosylate hemoglobin:HbA1c และ glycosylate albumin[fructosamine] ไม่นิยมในการวินิจฉัยโรคเบาหวานแต่นิยมใช้เพื่อประเมินผลการรักษาเนื่องจากมีความไวและความแม่นยำต่ำ
5.
การตรวจหากลูโคสในปัสสาวะไม่นิยมเพราะผิดพลาดได้ง่าย
ในการตรวจหากลูโคสในกระแสเลือดควรคำนึงถึงยาที่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้นเช่น steroid,thiazide,nicotinic acid,beta-block,ยาคุมกำเนิด
การตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์[Gestational Diabetes:GDM]
การคัดกรองของโรคเบาหวานชนิดที่หนึ่งไม่นิยมเนื่องจากราคาแพงและยังไม่เป็นที่ยอมรับ
คำนำ | การวินิจฉัย | การคัดกรอง | ชนิดของเบาหวาน | หลักการรักษาและโรคแทรกซ้อน |เป้าหมายในการควบคุมเบาหวาน | การติดตามและการประเมิน
http://www.siamhealth.net
วิธีที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานมีเพียงวิธีเดียวคือการเจาะหาน้ำตาลในเลือด สำหรับคนปกติแนะนำให้คนที่มีอายุมากกว่า 45 ปีควรจะเจาะเลือดทุกปีถ้าหากปกติก็ให้เจาะทุก 3 ปี หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงก็ควรที่เจาะเร็วขึ้นและบ่อยขึ้น คนปกติจะมีค่าน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่า 80-100 มิลิกรัม% การวินิจฉัยโรคเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 126 มิลิกรัม% สำหรับผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระ 100-125 มิลิกรัม%เราเรียก Impaired fasing glucose [IFG] คน กลุ่มนี้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องคุมอาการ รักษาน้ำหนัก ออกกำลังกาย สำหรับการตรวจปัสสาวะไม่แนะนำเพราะเราจะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะเมื่อระดับ น้ำตาลในเลือดมากกว่า 180 มิลิกรัม%ซึ่งเป็นเบาหวานไปเรียบร้อยแล้ว
การตรวจเลือดเราสามารถตรวจได้หลายวิธีดังนี้
1.
การวัดระดับกลูโคสในพลาสม่าหลังการอดอาหารอย่างน้อย8ชั่วโมง [fasting plasma glucose :FPG] แนะนำให้ใช้วิธีซึ่งสะดวกและแม่นยำ ให้การวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับน้ำตาลในเลือด [FPG] สูงกว่า 126มก.%[7.0 mmol/L] สองครั้ง
2.
การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส [ oral glucose tolerance test:OGTT] กรณีสงสัยว่าจะเป็นเบาหวาน แต่ระดับพลาสม่ากลูโคสก่อนรับประทานอาหารไมถึง 126 มก.% ให้ตรวจโดยการดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม เจาะเลือดก่อนดื่ม และ 2 ชั่วโมงหลังดื่ม วินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานเมื่อระดับพลาสม่ากลูโคสที่ 2 ชั่วโมงตั้ง 200 มก.%ขึ้นไป หากอยู่ระหว่า 140-199มก.%ถือว่าความทนทานต่อน้ำตาลบกพร่อง ( impaired glucose tolerance test) หากต่ำกว่า 140 มก%ถือว่าปกติ
3.
การสุ่มวัดระดับกลูโคสในพลาสมา [random plasma glucose:RPG] โดยไม่กำหนดเวลาอดอาหาร ใช้ค่ามากกว่า 200 มก.%และมีอาการของโรคเบาหวาน เนื่องจากมีความแม่นยำต่ำจึงไม่นิยมหาก หากพบว่าค่ามากกว่า 200 มิลิกรัม%จะต้องนัดมาเจาะน้ำตาลก่อนอาหาร หรือทำการตรวจ การวัดความทนทานน้ำตาลกลูโคส OGTT อาจจะตรวจในผู้ป่วยที่มีอาการของโรคเบาหวานมากจำเป็นต้องรีบให้การรักษา
4.
การใช้ระดับโปรตีนกลัยโคซัยเลต ได้แก่ glycosylate hemoglobin:HbA1c และ glycosylate albumin[fructosamine] ไม่นิยมในการวินิจฉัยโรคเบาหวานแต่นิยมใช้เพื่อประเมินผลการรักษาเนื่องจากมีความไวและความแม่นยำต่ำ
5.
การตรวจหากลูโคสในปัสสาวะไม่นิยมเพราะผิดพลาดได้ง่าย
ในการตรวจหากลูโคสในกระแสเลือดควรคำนึงถึงยาที่ทำให้น้ำตาลสูงขึ้นเช่น steroid,thiazide,nicotinic acid,beta-block,ยาคุมกำเนิด
การตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์[Gestational Diabetes:GDM]
การคัดกรองของโรคเบาหวานชนิดที่หนึ่งไม่นิยมเนื่องจากราคาแพงและยังไม่เป็นที่ยอมรับ
คำนำ | การวินิจฉัย | การคัดกรอง | ชนิดของเบาหวาน | หลักการรักษาและโรคแทรกซ้อน |เป้าหมายในการควบคุมเบาหวาน | การติดตามและการประเมิน
http://www.siamhealth.net
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)